ทฤษฎีระบบ – SlideShare
Dictionary.com
Merriam-Webster Online: Dictionary and Thesaurus
10000 general knowledge questions and answers – WordPress.com
ขอขมาพ่อแม่
ธูปเทียนพานดอกไม้ ยกขึ้นไหว้เพื่อขอขมา ซ้ำ
กรรมไดลูกเคยทำ เลวระยำหยาบต่ำช้า ซ้ำ
กรรมนั้นกายาวายา เจตนาทำผิดไป ซ้ำ
ต่อไปไม่ทำอีกแล้ว ตั้งใจแน่วต่อพระศาสนา ซ้ำ
แทนคุณบิดามารดา ลูกขอลาบวชแทนคุณ ซ้ำ
ลาแล้วลูกขอลา สู่ร่มพ้ากาสาวะพัสตร์ ซ้ำ
ขอพรคุณพ่อแม่ โปรดได้แผ่ใจการุณ ซ้ำ
อบรมบ่มนิสัย ฝึกกายใจให้ดีงาม ซ้ำ
ทำตามพระพุทธพระธรรม พระสงฆ์นำให้ทำดี ซ้ำ
ตั้งจิตอุทิศผลไห้ดี
ข้าพเจ้าตั้งจิตอุทิศผล บุญกุศบนี้ไปให้ไพศาล
ถึงมารดาบิดาและอาจารย์ บรรพบุรุษที่เราเคารพทุกท่าน
ทั้งลูกหลานญาติมิตรสนิทกัน มีส่วนได้ในกุศลผลบุญของฉัน
ทั้งเจ้ากรรมนายเวรและเทวัญ ขอให้ท่านได้กุศลผลบุญนี้เทอญ ฯ
โย จ วสฺสสตํ ชีเว ทุปฺปญฺโญ อสมาหิโต
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย ปญฺญวนฺตสฺส ฌายิโน
ผู้ใดมีปัญญาทราม มีใจไม่มั่นคง พึงเป็นอยู่ตั้งร้อยปี ส่วนผู้มีปัญญาเพ่งพินิจ มีชีวิตอยู่เพียงวันเดียวดีกว่า.
(พุทฺธ) ขุ. ธ. ๒๕/๒๙.
คนที่มีปัญญาทราม หรือคนโง่เขลา และมีจิตใจไม่คงที่ ฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์ต่างๆ นั้น มักจะทำอะไรไม่สำเร็จ คนเช่นนี้แม้จะทำงานเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่สามารถที่จะรับผิดชอบให้งานเป็นไปด้วยความเรียบร้อยได้ เพราะความเขลาเป็นเหตุนั่นเอง แม้เขาจะเกิดมาและมีอายุยืนยาวเป็นร้อยปีก็คงเติบโตแต่ร่างกายเท่านั้น ส่วนสติปัญญาและความรู้สึกนึกคิด หาได้เจริญเติบโตไปตามรูปร่างไม่
ฉะนั้น ชีวิตของเขาจึงยากที่จะประสบความเจริญ ไม่ว่าทางคดีโลก หรือคดีธรรม แม้จะมีอายุยืนนานสักเพียงใด ก็คงใช้ชีวิตไปในทางเสื่อม เพราะไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษแล้ว ก็อาจก่อกรรมทำชั่วให้ตนเองและผู้อื่นเดือดร้อน ชีวิตจึงเป็นโมฆะไร้คุณค่า ส่วนคนมีปัญญา หรือคนฉลาดนั้นให้เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่นตลอดเวลา ฉะนั้น ชีวิตของคนใช้ปัญญาจึงเต็มไปด้วยประโยชน์ มีคุณค่าเป็นที่ต้องการของสังคมทุกแห่งหน
ด้วยเหตุนี้ ผู้หวังความเจริญก้าวหน้าและต้องการให้ตนเองมีคุณค่าพึงแสวงหาปัญญาด้วยการหมั่นศึกษาเล่าเรียนโดยเคารพเถิด พึงใช้ปัญญานั้นๆ ไปในทางที่เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่นตลอดไป หากทำได้อย่างนี้ชีวิตก็จะมีคุณค่าและเจริญก้าวหน้าอย่างแน่นอน.ฯฯฯ
หลักกฎหมายปกครองวันละเรื่อง
พระราชอำนาจและพระราชฐานะของพระมหากษัตริย์ตามระบบการปกครองประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
***เคยเขียนเรื่องพระมหากษัตริย์ไว้ 3 ตอน ตอนที่ 2 เรื่อง พระราชอำนาจและพระราชฐานะ ไว้นานแล้ว พอดีมีประเด็นการขอสภาประชาชนพระราชทานและนายกรัฐมนตรีพระราชทาาน ซึ่งเป็นการไม่ถูกต้องและไม่สมควร จึงนำบทความนี้มาเผยแพร่อีกครั้ง เพื่อให้เข้าใจว่าพระมหากษัตริย์ทรงทำตามที่ร้องขอไม่ได้****
พระมหากษัตริย์ : พระราชฐานะ และพระราชอำนาจ
(ต่อจากตอนที่แล้ว)
2. พระราชอำนาจพระมหากษัตริย์
พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐในการปกครองระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) มิได้มีพระราชอำนาจจำกัดเฉพาะแต่ที่บทบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญที่เป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น พระมหากษัตริย์ยังมีพระราชอำนาจทางธรรมเนียมปฏิบัติทางรัฐธรรมนูญ (convention) ที่มีสถานะเป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรอีกด้วย นอกจากนี้พระมหากษัตริย์ยังมีพระราชอำนาจที่เกิดจากพลังทางสังคมที่ยอมรับจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์ที่เรียกว่า พระราชอำนาจทางสังคม ซึ่งพระราชอำนาจทางสังคมจะมากหรือจะน้อยขึ้นอยู่กับสภาพทางสังคมขณะนั้นกับราชกิจจานุวัตรขององค์พระมหากษัตริย์ประกอบกัน
การที่รู้และเข้าใจว่า พระราชอำนาจพระมหากษัตริย์มีเพียงใด จึงมิได้ศึกษาเฉพาะแต่รัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรเท่านั้น แต่จะต้องศึกษาธรรมเนียมปฏิบัติทางรัฐธรรมนูญ และพระราชอำนาจทางสังคมด้วยจึงจะครบถ้วน ดังนี้
2.1 พระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ
พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยตามที่บัญญัติรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ ที่เป็นลายลักษณ์อักษรนับแต่เป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) ได้รับการบัญญัติต่อเนื่องในรัฐธรรมนูญทุกฉบับ และรัฐธรรมนูญทุกฉบับกำหนดในหมวดของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญห้ามมิให้แก้ไขในส่วนของระบอบการปกครอง รูปแบบรัฐ และหมวดพระมหากษัตริย์ จนทำให้ยอมรับว่า เป็นประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตย พระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ในหลายหมวด มิไดมีเฉพาะหมวดพระมหากษัตริย์เท่านั้น พระราชอำนาจพระมหากษัตริย์มีทั้งพระราชอำนาจในฐานะประมุขของรัฐ ในฐานะประมุขฝ่ายบริหาร ในฐานะใช้อำนาจนิติบัญญัติและอำนาจตุลการ ซึ่งมีรายละเอียดแยกพิจารณาได้ดังนี้
1. พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจอธิปไตยแทนปวงชนชาวไทย กล่าวคือ ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติทางรัฐสภา ทรงใช้อำนาจบริหารทางคณะรัฐมนตรี ทรงใช้อำนาจตุลาการทางศาล
2. พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการแต่งตั้งประธานองคมนตรีและองคมนตรี ตามพระราชอัธยาศัย
3. พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการแต่งตั้งราชสมุทรองค์รักษ์ตามพระราชอัธยาศัย
4. พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะสถาปนาฐานันดรศักดิ์ และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์
5. พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการยับยั้งร่างพระราชบัญญัติ (รวมถึงร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ) ซึ่งรัฐสภาลงมติให้นำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย
6. พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ
7. พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ประธานรัฐสภา ประธานศาลฎีกา ผู้ดำรงตำแหน่งในรัฐธรรมนูญหรือข้าราชการตามกฎหมายอื่นกำหนด
8. พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการประกาศใช้กฎอัยการศึกตามกฎหมายว่าด้วยกฎอัยการศึก
9. พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการประกาศสงครามเมื่อได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา
10. พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการทำหนังสือสัญญาสันติภาพสงบศึก และสัญญาอื่นกับนานประเทศหรือองค์กรระหว่างประเทศ
11. พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษ
12. พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการตราพระราชกำหนด และพระราชกฤษฎีที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ
13. พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการตราพระราชกฤษฎีที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามพะราชบัญญัติเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อกฎหมาย
พระราชอำนาจในข้อที่ 1 เป็นไปตามหลักการแบ่งแยกการใช้อำนาจอธิปไตย คือ พระมหากษัตริย์ทรงผู้แทนของปวงชนชาวไทยในการใช้อำนาจอธิปไตย แต่พระองค์จะใช้อำนาจอธิปไตยผ่านทางฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ
พระราชอำนาจในข้อที่ 2 และข้อ 3 เป็นพระราชอำนาจที่กระทำในฐานะประมุขของรัฐที่เป็นพระมหากษัตริย์ ที่จะต้องมีที่ปรึกษาส่วนพระองค์และผู้ที่จะรักษาความปลอดภัยประจำพระองค์
พระราชอำนาจในข้อที่ 4 เป็นพระราชอำนาจที่กระทำในฐานะประมุขของรัฐและเป็นเป็นพระราชอำนาจที่กระทำในฐานะส่วนประกอบของรัฐบาล ที่เป็นส่วนประจำถาวรอันเป็นที่มาของเกียรติยศ
พระราชอำนาจในข้อที่ 5 และข้อที่ 6 เป็นพระราชอำนาจที่กระทำในฐานะประมุขของรัฐที่เป็นพระมหากษัตริย์ในการใช้อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ (นิติกรรมทางนิติบัญญัติ) ในการทรงเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบในร่างกฎหมายที่ฝ่ายนิติบัญญัติเห็นชอบและทูลเกล้าฯ เพื่อลงพระปรมาภิไธย
พระราชอำนาจในข้อที่ 7 ถึงข้อที่ 13 เป็นพระราชอำนาจที่กระทำในฐานะส่วนประกอบของรัฐบาล ที่เป็นส่วนประจำถาวรซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจฝ่ายบริหาร
เหตุที่ไม่การกล่าวถึง พระราชอำนาจกระทำในฐานะประมุขของรัฐที่เป็นพระมหากษัตริย์ในการใช้อำนาจฝ่ายตุลาการ เพราะ ตุลาการใช้อำนาจตุลาการในนามประปรมาภิไธย การทำคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดผลเหตุคดี (นิติกรรมทางตุลาการ) ถือว่าเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยในนามพระมหากษัตริย์ แต่เนื่องจากการทำคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีมีจำนวนมากไม่อาจที่ทูลเกล้าฯ ถวายคำแนะให้พระมหากษัตริย์ลพระปรมาภิไธยทุกกรณีได้ รัฐธรรมนูญจึงบัญญัติให้การใช้อำนาจตุลาการของตุลาการ ผู้พิพากษากระทำในนามพระปรมาภิไธย
2.2 พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ตามในทางธรรมเนียมปฏิบัติทางรัฐธรรมนูญ
ในทางรัฐธรรมนูญประเทศอังกฤษ ได้มีการอธิบายในทางตำราของนายแบทชอท (Bagehot) และเป็นที่ยอมรับกันว่า ในประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขของรัฐ พระมหากษัตริย์ทรงมีสิทธิในทางธรรมเนียมปฏิบัติทางรัฐธรรมนูญ (convention) ในการที่จะได้รับการปรึกษาหารือ ทรงมีสิทธิสนับสนุน และทรงมีสิทธิที่จะตักเตือนได้ แม้ว่าจะไม่ได้มีการบัญญัติเป็นเป็นลายลักษณ์อักษรในรัฐธรรมนูญก็ตาม ซึ่งประเทศไทยก็ถือเอาเป็นแบบอย่างในทางธรรมเนียมปฏิบัติทางรัฐธรรมนูญเช่นกัน สิทธิดังกล่าวประกอบด้วย
(1) สิทธิที่จะได้รับการปรึกษาหารือ (the right to be consulted)
ในบรรดาราชการแผ่นดินสำคัญ ๆ เช่น ปัญหาเกี่ยวกับต่างประเทศ คณะรัฐมนตรีย่อมจะไม่ดำเนินการให้เรื่องเด็ดขาดแต่จะปรึกษากับพระมหากษัตริย์เสียก่อน พระมหากษัตริย์เป็นประมุขของรัฐและเป็นพระมหากษัตริย์ที่ถาวรต่างกับคณะรัฐมนตรีที่ผลัดกันเข้ามาดำรงตำแหน่งตามวิถีทางการเมือง ฉะนั้นพระมหากษัตริย์จึงอาจจัดเจนในราชการแผ่นดินในกรณีสำคัญ ๆ คณะรัฐมนตรีจะต้องไปเข้าเฝ้าของรับการปรึกษาหารือจากพระมหากษัตริย์และพระราชทานคำปรึกษาอย่างใดแล้ว คณะรัฐมนตรีจะต้องรับมาพิจารณาโดยความเคารพ การที่พระมหากษัตริย์มีสิทธิที่จะได้รับการปรึกษาหารือนี้หมายความว่าในราชการแผ่นดินที่สำคัญ และคณะรัฐมนตรียังไม่กระทำการใด ๆ ให้เป็นการผูกพันหรือถึงที่สุด แต่จะต้องมาเฝ้ากราบทูลข้อเท็จจริง และขอรับการปรึกษาหารือก่อน
(2) สิทธิที่จะทรงสนับสนุน (The right to encourage)
กล่าวคือ พระมหากษัตริย์มีสิทธิที่จะทรงสนับสนุนคณะรัฐมนตรีของพระองค์ ทำให้คณะรัฐมนตรีเกิดกำลังน้ำใจในอันที่จะปฏิบัติราชการแผ่นดินนั้น ๆ
(3) สิทธิที่จะตักเตือน (The right to warn)
พระมหากษัตริย์ย่อมทรงครองราชย์เป็นการถาวร จึงมีความชัดเจนในรัฐกิจต่าง ๆ ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่ละคณะได้ดำเนินการมาแล้ว ฉะนั้น พระมหากษัตริย์ย่อมอยู่ในฐานะที่จะทรงตักเตือนคณะรัฐมนตรีของพระองค์ว่า รัฐกิจที่คณะรัฐมนตรีดำริจะจัดทำนั้น อาจนำผลร้ายมาให้แก่ประเทศอย่างเดียวกับคณะรัฐมนตรีชุดก่อนได้ประสบมาแล้ว ถ้าคณะรัฐมนตรีจะจัดทำรัฐกิจการหรือบริหารราชการแผ่นดินอย่างเดียวกันนั้นอีกก็ต้องหาทางป้องกันผลร้ายนั้นเสียก่อน เป็นต้น
จากธรรมเนียมปฏิบัติทางรัฐธรรมนูญที่พระมหากษัตริย์ทรงมีสิทธิทั้ง 3 ประการนี้ จะเห็นได้พระราชอำนาจที่แท้จริงของพระมหากษัตริย์ในทางรัฐธรรมนูญคือ พระราชอำนาจที่จะได้รับการกราบบังคมทูลและการปรึกษานั้นเอง (the right to be informed and the right to be consulted)
แต่การที่พระมหากษัตริย์จะทรงใช้สิทธิตามพระราชอำนาจทั้งสามประการดังกล่าวได้ ในกรณีปัญหาสำคัญ ๆ หรือเกี่ยวกับการผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ เช่น รัฐทูต ฯลฯ ย่อมเป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีที่จะถวายเรื่องต่าง ๆ ให้พระมหากษัตริย์ทรงทราบก่อนหน้าที่คณะรัฐมนตรีจะได้ตัดสินใจเด็ดขาดเกี่ยวกับปัญหานั้น ๆ ในการเข้าเฝ้าของนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีนั้นต่อหน้าพระมหากษัตริย์คณะรัฐมนตรีย่อมปรากฏออกมาในฐานะที่เป็นเอกภาพ (unity) แม้ว่าจะมีวามเห็นแตกต่างกันของบุคคลในคณะรัฐมนตรีก็ตาม แต่เมื่อจะเข้าเฝ้าทราบบังคมทูลเพื่อว่าพระมหากษัตริย์จะได้ทรงปรึกษาหารือแนะนำตักเตือนก็ต้องกราบทูลข้อเท็จจริงทรงทราบทุกทางและอย่างตรงไปตรงมา เพื่อว่าพระมหากษัตริย์จะได้ทรงปรึกษาหารือแนะนำตักเตือนได้โดยรอบคอบยิ่งขึ้น เมื่อพระมหากษัตริย์ได้รับทราบข้อความต่าง ๆ อันเกี่ยวกับราชการแผ่นดินแล้วก็อาจทรงเรียกนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องไปเพื่อให้อธิบายและชี้แจงความคิดเห็น พระมหากษัตริย์อาจให้คำปรึกษาว่า นอกจากจะดำเนินนโยบายตามที่คณะรัฐมนตรีดำริแล้วยังอาจมีนโยบายทางอื่นเผือเลือก (alternative policy) อีก ในกรณีที่ทรงเห็นด้วยก็จะได้ทรงสนับสนุนให้กำลังใจ และในกรณีที่ไม่เสียต่อการวางพระองค์เป็นกลาง พระมหากษัตริย์อาจทรงร่วมมือปฏิบัติการกับรัฐบาล เช่น ทรงชักชวนให้ราษฎรประหยัดทรัพย์ในเวลาที่รัฐกำลังผจญกับปัญหาเรื่องการเงินได้ เป็นต้น ในกรณีที่ไม่ทรงเห็นด้วย ก็จะทรงทักท้วงตักเตือนให้เห็นภัยของการดำเนินตามนโยบายของคณะรัฐมนตรี ในกรณีที่พระมหากษัตริย์ทรงทักท้วงเช่นนี้ย่อมเป็นหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีที่จะต้องประชุมปรึกษาหารือกันใหม่ คณะรัฐมนตรีอาจยืนยันตามความเห็นเดิมได้ซึ่งพระมหากษัตริย์ก็ต้องทรงยอมรับ เพราะคณะรัฐมนตรีต่างหากเป็นผู้รับผิดชอบต่อรัฐสภา
สิทธิที่ทรงจะแนะนำนี้ สำหรับประเทศไทยเป็นที่มาของโครงการตามพระราชดำริ คือ พระมหากษัตริย์ทรงแนะนำให้คณะรัฐมนตรีทราบ และคณะรัฐมนตรีได้ปรึกษาหารือ ถ้าเห็นว่าไม่ควรจะปฏิบัติตามคำแนะในโครงการที่พระมหากษัตริย์แนะนำ ก็ไม่ปฏิบัติตาม แต่ถ้าเห็นชอบตามที่พระมหากษัตริย์แนะนำก็นำคำแนะนำไปปฏิบัติ ซึ่งการปฏิบัติในโครงการพระราชดำรินี้ มิใช่เป็นการกระทำของพระมหากษัตริย์ แต่เป็นการกระทำของคณะรัฐมนตรีเองโดยตรง ดังนี้โดยแท้จริงแล้ว งานต่างๆที่เป็นโครงการพระราชดำริทั้งหลาย มิใช่งานที่พระมหากษัตริย์ทรงกระทำ แต่เป็นงานของฝ่ายบริหารที่กระทำและอยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายบริหาร
2.3 พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ทางสังคม
พระราชอำนาจทางสังคมของพระมหากษัตริย์เป็นพระราชอำนาจที่สืบเนื่องมาจากพระราชอำนาจตามธรรมเนียมปฏิบัติทางรัฐธรรมนูญในทางการที่จะทรงได้รับการปรึกษาหารือแนะนำตักเตือน โดยที่นำแนะนำตักเตือนของพระมหากษัตริย์จะมีผลให้คณะรัฐมนตรี รัฐสภา ตุลาการ พรรคการเมือง ราษฎร เชื่อฟังยอมรับและน้อมนำไปปฏิบัติตามเพียงใดขึ้นอยู่พระราชอำนาจทางสังคมของพระมหากษัตริย์ โดยพระราชอำนาจทางสังคมของพระมหากษัตริย์จะเกิดขึ้นและจะมีมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับองค์ประกอบดังนี้
(1) ความจงรักภักดี
พระมหากษัตริย์บางพระองค์ราษฎรรักมากบางพระองค์ราษฎรรักน้อย ฉะนั้นอำนาจในทางสังคมของพระมหากษัตริย์ในการที่จะทรงแนะนำทักท้วงหรือตักเตือนคณะรัฐมนตรี รัฐสภา ตุลาการ จึงขึ้นอยู่ที่ว่า ราษฎรมีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์มากน้อยเพียงใด โดยเหตุนี้ตำรารัฐธรรมนูญที่เขียนโดยบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายซ้ายของประเทศอังกฤษ จึงพยายามที่จะแสดงให้เห็นว่าการมีพระมหากษัตริย์ไม่มีประโยชน์อะไรนัก ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ราษฎรมีความจงรักภักดี เพราะพวกฝ่ายซ้ายได้ระแวงว่าพระมหากษัตริย์จะเป็นฝ่ายนายทุน ส่วนหนังสือพิมพ์ที่เป็นฝ่ายทุนก็ได้พยายามที่จะสร้างและทวีความจงรักภักดีของราษฎรยิ่งขึ้น โดยการพิมพ์รูปพระมหากษัตริย์และพระประยูรญาติที่ไปงานสังคมและงานสงเคราะห์ต่าง ๆ เพื่อให้ราษฎรเกิดความเลื่อมใส อำนาจทางสังคมของพระมหากษัตริย์อันเนื่องจากความจงรักภักดีของราษฎรนี้ เกิดจากการที่คณะรัฐมนตรีซึ่งประกอบด้วยบุคคลที่เป็นหัวหน้าหรือผู้นำพรรคการเมืองเกรงว่า ถ้าจะแสดงตนเป็นปรปักษ์ต่อพระมหากษัตริย์แล้ว ในการเลือกตั้งคราวหน้าพรรคการเมืองของตนจะไม่ได้เป็นฝ่ายข้างมากในรัฐสภา และโดยเหตุนั้นพรรคการเมืองนั้นจะไม่มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลอีก
สำหรับประเทศไทย ความจงรักภักดีของราษฎรที่มีต่อพระมหากษัตริย์มิได้เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาอันสั้นหรือปัจจุบันทันด่วน ความจงรักภักดีของราษฎรที่มีต่อพระมหากษัตริย์ไทยได้มีสืบเนื่องมายาวนานในหลายรัชสมัยทั้งก่อนและหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เนื่องด้วยพระมหากษัตริย์ไทยต่อละพระองค์ได้สะสมคุณงานความดีแก่ราชวงศ์จักรีสืบเนื่องมาก และรัฐสยามหรือรัฐไทยได้ก่อเกิดขึ้นโดยพระรากิจจานุวัตรของพระมหากษัตริย์ไทย โดยเฉพาะอย่างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ที่ทรงครองราชย์ยาวนานถึง 42 ปี ซึ่งเมื่อพระมหากษัตริย์ทรงราชย์ยาวนานก็ยิ่งเป็นการสร้างสะสมพระบารมีและนำพาประเทศไปสู่ความเจริญมาขึ้น และสืบเนื่องจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชที่ทรงราชย์ยาวนานเกินกว่า 60 ปี โดยตลอดรัชสมัยของพระองค์ได้ประกอบพระราชกิจจานุวัตรเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนชาวสยามหรือชาวไทยมาโดยตลอด ก็ยิ่งเป็นสะสมความจงรักภักดีของราษฎรที่มีต่อพระมหากษัตริย์ไทยมากยิ่งขึ้นกว่าความจงรักภักดีของราษฎรต่อพระมหากษัตริย์ในบางประเทศ พระราชอำนาจทางสังคมพระมหากษัตริย์ไทยก็จะมีมากขึ้นตามความจงรักภักดีของราษฎรที่มากนั้นเอง
(2) พระราชบุคลิกลักษณะและพระราชกิจจานุวัตรของพระมหากษัตริย์
การปรึกษาหารือหรือสนับสนุนหรือตักเตือนของพระมหากษัตริย์จะมีอำนาจในทางสังคมเท่าใดนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับพระราชบุคลิกลักษณะและพระราชกิจจานุวัตรของพระมหากษัตริย์ส่วนหนึ่งด้วย บุคลิกลักษณะของพระมหากษัตริย์ที่ทรงฉลาดและเจนจัดนั้นมีผลทำให้คณะรัฐมนตรีน้อมรับนำปฏิบัติ แต่จะต้องประกอบด้วยพระราชกิจจุนวัตรที่งดงามทั้งด้านการเมือง สังคมและพระราชจริยานุวัตรส่วนพระองค์ด้วย
ก. พะราชบุคลิกลักษณะ
พระราชบุคลิกลักษณะขององค์พระมหากษัตริย์แต่ละพระองค์ย่อมแตกต่างมากน้อยกันไป แต่ถ้าบุคลิกลักษณะของพระมหากษัตริย์มีความเฉลียวฉลาดและมีจัดเจนในงานบริหารราชการแผ่นดินก็ย่อมทำให้พระราชอำนาจทางสังคมมีมากขึ้นด้วย จึงต้องพิจารณาในสองประการ คือ
ประการแรก ความเฉลียวฉลาด การที่องค์พระมหากษัตริย์มีความฉลาดไหวพริบ ย่อมจะทำให้คำแนะนำของพระมหากษัตริย์ย่อมมีความประสงค์จะได้ผลสำเร็จของการบริหารราชการแผ่นดินของตนเพื่อพรรคการเมืองที่ตนสังกัดจะได้คงเป็นฝ่ายข้างมากในการเลือกตั้งคราวหน้า โดยเหตุนี้ถ้าพระมหากษัตริย์ทรงแนะนำนโยบายที่จะให้ประโยชน์มากกว่านโยบายของตน คณะรัฐมนตรีก็คงจะต้องกระทำ องค์พระมหากษัตริย์ที่ฉลาดจะรู้จักวิธีติดต่อกับคณะรัฐมนตรี และอาจทรงใช้อิทธิพลพระราชบารมีให้คณะรัฐมนตรีมีความเห็นคล้อยตามไปโดยไม่รู้สึกก็ได้ พระมหากษัตริย์บางพระองค์อาจมีพระทัยเข้มแข็งและอาจทำให้คณะรัฐมนตรีปฏิบัติตามพระราชประสงค์ได้มาก บางพระองค์ก็อ่อนแอปล่อยให้คณะรัฐมนตรีถวายคำแนะนำแต่ฝ่ายเดียว
ประการที่สอง ความจัดเจน การที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขถาวร ในรัชสมัยหนึ่ง ๆ มีคณะรัฐมนตรีหลายชุดผลัดเปลี่ยนกันเข้าบริหารราชการแผ่นดิน ฉะนั้นจึงทรงมีความจัดเจน (experience) ในราชการแผ่นดินมากกว่าคณะรัฐมนตรี องค์พระมหากษัตริย์อาจทรงรับสั่งว่าในสมัยที่นายกรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งเป็นอยู่นั้น ได้เคยมีกรณีอย่างนี้และได้เคยดำเนินนโยบายอย่างนั้นอย่างนี้ผิดแผกแตกต่างกับนโยบายของคณะรัฐมนตรีชุดนี้ คณะรัฐมนตรีชุดนี้ได้คิดถึงนโยบายนั้น ๆ หรือไม่ และในกรณีที่นโยบายอันก่อนนั้น ๆ เคยได้นำผลดีมาให้ พระมหากษัตริย์อาจทรงแนะนำให้ไปพิจารณาเปรียบเทียบดูว่า ผลดีที่จะพึ่งเกิดจากนโยบายของคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันกับผลที่ดีจะเกิดจากนโยบายของคณะรัฐมนตรีชุดก่อนอย่างไหนจะมากกว่ากัน แต่ถ้านโยบายอย่างเดียวกันกับนโยบายเดิมซึ่งเคยนำผลร้ายมาให้ พระมหากษัตริย์อาจทรงตักเตือนให้ระงับนโยบายนั้นเสีย หรือถ้าจะบังคับใช้นโยบายนั้นก็ให้ทางระวังและป้องกันผลร้ายที่จะพึงบังเกิดนั้นเสีย ก่อนหน้าที่จะดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบายนั้น
ข.พระราชกิจจานุวัตร
พระราชอำนาจทางสังคมขององค์พระมหากษัตริย์จะมีมากน้อยเพียงใด นอกจากบุคลิกลักษณะแล้วจะต้องพิจารณาถึงพระราชกิจจานุวัตรขององค์พระมหากษัตริย์องค์นั้นๆ ด้วย หากพระราชกิจจานุวัตรงดงามแล้ว พระบารมีย่อมมาก พระราชอำนาจทางสังคมย่อมมากตามไปด้วย พระราชกิจจานุวัตรขององค์พระมหากษัตริย์สามารถแบ่งได้ 3 ประการคือ
ประการแรก พระราชกิจจานุวัตรทางการเมือง
คือ การวางพระองค์เป็นกลางทางการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งต่อพระราชบารมีที่มีผลต่อพระราชอำนาจทางสังคม เพราะหากไม่วางตัวเป็นกลางทำการเกลียกกลั้วทางการเมืองทำการเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพรรคการใดพรรคการเมืองชัดเจนก็ยิ่งทำให้พระบารมีลดน้อยถอยลง หากวางพระองค์เป็นกลางกับทุกฝ่าย เมื่อทรงแนะนำตักเตือนหรือไกล่เกลี่ยปัญหาทางการเมืองก็ยิ่งทำให้ทุกฝ่ายเชื่อฟัง
ประการที่สอง พระราชกิจจานุวัตรทางสังคม
คือ การสงเคราะห์ (Charity) ที่ถือว่าเป็นหน้าที่ของพระมหากษัตริย์จะต้องปฏิบัติต่อราษฎรอย่างต่อเนื่อง หากองค์พระมหากษัตริย์ให้การสงเคราะห์ทางสังคมมากเพียงใด ไม่ละเลยที่จะสงเคราะห์แก่ราษฎรอย่างทั่วถึง พระราชบารมีก็ย่อมมีมาก พระราชอำนาจทางสังคมก็มีมากขึ้นตามไปด้วย หากแต่พระมหากษัตริย์พระองค์ใดเอาแต่ความสุขสบายส่วนพระองค์ไม่สนใจที่สงเคราะห์แก่สังคม ก็ยิ่งเป็นการห่างเหินจากราษฎรของพระองค์เอง ก็จะทำพระราชอำนาจทางสังคมลดน้อยเพราะราษฎรจะขาดความจงรักภักดีนั้นเอง
ประการที่สาม พระราชจริยานุวัตรส่วนพระองค์
คือ พระมหากษัตริย์จะต้องมีพระราชจริยานุวัตรส่วนพระองค์ที่งดงาม ไม่ประพฤติเสื่อมเสียพระเกียรติยศแห่งวงศ์สังคมกษัตริย์ เพราะราษฎรย่อมจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ที่มีพระราชจริยาวัตรที่งดงามเท่านั้น การประพฤติเสื่อมเสียพระเกียรติยศในเรื่องตัวพระองค์ ย่อมลดทอดความจงรักภักดีของราษฎรลงเท่ากับลดพระราชอำนาจทางสังคมของพระมหากษัตริย์พระองค์นั้นเอง
บุคลิกลักษณะและพระราชกิจจานุวัตรของพระมหากษัตริย์ก่อให้เกิดความจงรักภักดีของราษฎรมากขึ้นและส่งผลต่อเนื่องถึงพลังทางสังคมที่ส่งเสริมพระราชอำนาจทางสังคมของพระมหากษัตริย์มีมากตามไปด้วย
(3) บุคลิกลักษณะของคณะรัฐมนตรี
บุคลิกลักษณะของคณะรัฐมนตรี จะเป็นข้อชัดว่าพระราชอำนาจทางสังคมพระมหากษัตริย์มีมากน้อยเพียงใดด้วย โดยที่คณะรัฐมนตรีอันเป็นทำหน้าที่ฝ่ายบริหารที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายกรัฐมนตรี หากนายกรัฐมนตรีมีอุปนิสัยและความเฉลียวฉลาดมีรัฐมนตรีที่ประกอบเป็นคณะรัฐมนตรีที่ดี โอกาสที่จะทำน้อมนำพระราชดำรัสแนะนำตักเตือนมาปฏิบัติก็มากหรือน้อยลงแล้วแต่ว่าจะเป็นพระราชดำรัสแนะนำตักเตือนที่ดีหรือไม่ แต่โดยปกติหากนายกรัฐมนตรีเข้มแข็งและเฉลียวฉลาด โอกาสที่พระมหากษัตริย์จะทรงแนะนำตักเตือนน้อยลง พระราชอำนาจทางสังคมของพระมหากษัตริย์ก็จะน้อยลง แต่ถ้านายกรัฐมนตรีอ่อนแอและไม่เฉลียวฉลาด โอกาสที่พระมหากษัตริย์จะทรงแนะนำตักเตือนมีมากขึ้น พระราชอำนาจทางสังคมของพระมหากษัตริย์ก็จะมีมากขึ้นด้วย แต่การที่ทั้งพระมหากษัตริย์ทรงฉลาดเข้มแข็งและนายกรัฐมนตรีก็ฉลาดเข้มแข็ง การแนะนำของพระมหากษัตริย์ก็จะได้รับการปฏิบัติมากขึ้น พระราชอำนาจทางสังคมของพระมหากษัตริย์ก็มีมากด้วย และนายกรัฐมนตรีก็จะมีบารมีทางการเมืองมากตามไปด้วย
สำหรับประเทศไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินมหาภูมิพลเจ้าอยู่หัวนั้น พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงมีพะราชบารมีทางสังคมสูงมาก เนื่องจากทรงราชย์ยาวนาน ทรงพระราชบุคลิกลักษณะเฉลียวฉลาด มีความจัดเจนงานบริหารราชการแผ่นดิน ทรงมีพระราชสงเคราะห์ทางสังคมสูง และพระราชกิจจานุวัตรที่งดงาม จึงทำให้พระราชอำนาจทางสังคมมีสูง ส่งผลให้พระราชอำนาจตามธรรมเนียมปฏิบัติทางรัฐธรรมนูญในทางปรึกษาหารือแนะนำตักเตือนสูงตามไปด้วย การไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางการเมืองโดยพระองค์มีผลทำให้ทุกฝ่ายเชื่อฟังน้อมนำปฏิบัติ และทุกได้ยุติข้อพิพาทที่อาจก่อให้เกิดสงครามกลางเมืองทั้งในคราวเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และเหตุการณ์ 20 พฤษภาคม 2535 ซึ่งเป็นการยากที่จะหาพระมหากษัตริย์พระองค์อื่นในโลกจะทำได้
2.4 พระราชอำนาจตามกฎหมายอื่นทรงถวาย
นอกจากพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญแล้ว กฎหมายอื่นอันได้แก่ พระราชบัญญัติอาจถวายพระราชอำนาจแก่พระมหากษัตริย์ได้เช่นกัน แต่พระราชอำนาจที่ถวายนั้นส่วนมาจะเป็นพระราชอำนาจในการแต่งตั้งบุคคล ในฐานะที่พระมหากษัตริย์ส่วนหนึ่งของรัฐบาลนั้นเอง แต่ว่ากฎหมายอื่นจะกำหนดพระราชฐานะของพระมหากษัตริย์ไม่ได้ รวมทั้งจะตัดรอนหรือลิดรอนพระราชอำนาจไม่ได้
จะเห็นได้ว่า พระมหากษัตริย์นอกจากจะทรงเป็นประมุขของรัฐ กล่าวคือทรงเป็นผู้แทนของรัฐในความสัมพันธ์กับต่างประเทศ และเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชาติแล้ว ยังทรงเป็นประมุขของ “ฝ่ายบริหาร” ด้วย โดยรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นได้ถวายพระราชอำนาจทางบริหารแด่พระมหากษัตริย์ไว้หลายประการ เช่น พระราชอำนาจในการตราพระราชกฤษีกาโดยไม่ขัดต่อกฎหมาย, พระราชอำนาจในการประกาศใช้และเลิกใช้กฎอัยการศึก, พระราชอำนาจในการทำหนังสือสัญญาสินติภาพ สัญญาสงบศึก และสัญญาอื่นกับนานาประเทศหรือองค์กรระหว่างประเทศ, พระราชอำนาจในการพระราชอภัยโทษ, พระราชอำนาจในการแต่งตั้งและถอดถอนจากตำแหน่งซึ่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นต้น
ประเภทของการวิจัย
การที่จะแบ่งการวิจัยออกเป็นกี่ประเภทนั้นขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่งว่าจะยึดถือสิ่งใดเป็นเกณฑ์หรือเป็นหลัก ทั้งนี้เพราะการใช้เกณฑ์ต่างกัน ก็จะแบ่งการวิจัยออกเป็นประเภทต่าง ได้ไม่เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้ประเภทของการวิจัยจึงแบ่งกันได้หลายแบบเพราะขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่งดังกล่าวแล้ว ต่อไปนี้จะขอกล่าวถึงประเภทของการวิจัยโดยใช้เกณฑ์ต่าง ๆ กัน
1. แบ่งตามจุดมุ่งหมายของการวิจัย
การแบ่งประเภทของการวิจัยโดยใช้จุดมุ่งหมายของการวิจัยเป็นเกณฑ์ในการแบ่งนั้น อาจแบ่งได้เป็น 3 ประเภทดังนี้
1. การวิจัยเชิงพยากรณ์ (Predictive research) เป็นการวิจัยเพื่อที่จะนำผลที่ได้นั้นไปใช้ทำนายสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต เช่น การวิจัยเรื่อง “การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์กับคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา” การวิจัยนี้ต้องการจะทดสอบว่า ผลการเรียนวิชาคณิตศาสตร์มีความคล้อยตามกันหรือสัมพันธ์กันกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของวิชาวิทยาศาสตร์หรือไม่ ทั้งนี้เพื่อจะนำผลที่ได้ไปทำนายว่านักเรียนที่มีผลการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ดีจะเรียนวิชาคณิตศาสตร์ได้ดีเพียงใด แต่การพยากรณ์นี้เป็นการพยากรณ์นักเรียนทั้งกลุ่ม มิได้พยากรณ์เป็นรายบุคคล และมิได้หมายความว่าจะถูกต้องเสมอไป เพราะอาจมีสาเหตุอื่นมากมายที่ทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการพยากรณ์ได้
2. การวิจัยเชิงวินิจฉัย (Diagnostic research) เป็นการวิจัยเพื่อศึกษาสาเหตุของปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง กลุ่มชน หรือชุมชน เพื่อให้เกิดความเข้าใจในปัญหา เข้าใจในพฤติกรรม ตลอดจนเข้าใจในสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาอันจะเป็นประโยชน์ในการช่วยเหลือ อนุเคราะห์ และทำการแก้ไขต่อไป การวิจัยประเภทนี้นักสังคมสงเคราะห์นิยมใช้กันมาก เพื่อจะได้แก้ไขปัญหาได้ถูกจุด
3. การวิจัยเชิงอรรถาธิบาย (Explanatory research) เป็นการวิจัยเพื่อศึกษาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร มีสาเหตุมาจากอะไร และทำไมจึงเป็นเช่นนั้น การวิจัยประเภทนี้จะพยายามชี้ให้เห็นว่าตัวแปรใดสัมพันธ์กับตัวแปรใดบ้าง และสัมพันธ์กันอย่างไรในเชิงของเหตุและผล
2. แบ่งตามประโยชน์ของการวิจัย
การแบ่งประเภทของการวิจัยโดยยึดประโยชน์ที่ได้จากการวิจัยเป็นเกณฑ์นั้น เราจะต้องพิจารณาว่าในการทำการวิจัยมุ่งที่จะนำผลไปใช้ประโยชน์หรือไม่ ดังนั้นจึงสามารถแบ่งการวิจัยออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. การวิจัยพื้นฐาน (Basic research) หรือการวิจัยบริสุทธิ์ (Pure research) หรือการวิจัยเชิงทฤษฎี (Theoretical research) เป็นการวิจัยที่เสาะแสวงหาความรู้ใหม่เพื่อสร้างเป็นทฤษฎี หรือเพื่อเพิ่มพูนความรู้ต่าง ๆ ให้กว้างขวางสมบูรณ์ยิ่งขึ้นโดยมิได้คำนึงว่าความรู้นั้นจะนำไปแก้ปัญหาใดได้หรือไม่ การวิจัยประเภทนี้มีความลึกซึ้งและสลับซ้อบซ้อนมาก เช่น การวิจัยทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ เป็นต้น
2. การวิจัยประยุกต์ (Applied research) หรือการวิจัยเชิงปฏิบัติ (Action research) หรือการวิจัยเพื่อหาแนวทางปฏิบัติ (Operational research) เป็นการวิจัยที่มุ่งเสาะแสวงหาความรู้ และประยุกต์ใช้ความรู้หรือวิทยาการต่าง ๆ ให้เป็นประโยชน์ในทางปฏิบัติหรือเป็นการวิจัยที่นำผลที่ได้ไปแก้ปัญหาโดยตรงนั่นเอง การวิจัยประเภทนี้อาจนำผลการวิจัยพื้นฐานมาวิจัยต่อแล้วทดลองใช้ เช่น การวิจัยเกี่ยวกับอาหาร ยารักษาโรค การเกษตร การเรียนการสอน เป็นต้น ดังนั้นเราจึงไม่สามารถที่จะแยกการวิจัยพื้นฐานและการวิจัยประยุกต์ออกจากกันได้โดยเด็ดขาด
3. แบ่งตามวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อนำมาใช้ในการวิจัยนั้นมีหลายวิธี ดังนั้นจึงมีผู้แบ่งประเภทของการวิจัยตามวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ซึ่งแบ่งได้ดังนี้
1. การวิจัยจากเอกสาร (Documentary research) เป็นการวิจัยที่ผู้วิจัยทำการเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร รายงาน จดหมายเหตุ ศิลาจารึก แล้วเสนอผลในเชิงวิเคราะห์ ส่วนใหญ่เอกสารที่ผู้วิจัยเก็บรวบรวมนี้จะอยู่ในห้องสมุด ดังนั้นจึงอาจเรียกการวิจัยประเภทนี้อีกอย่างหนึ่งว่า การวิจัยจากห้องสมุด (Library research)
2. การวิจัยจากการสังเกต (Observation research) เป็นการวิจัยที่ผู้วิจัยทำการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการสังเกต การวิจัยประเภทนี้นิยมใช้มากทางด้านมานุษยวิทยา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการสังเกตพฤติกรรมของบุคคลในสังคมในแง่ของสถานภาพ (Status) และบทบาท (Role)
3. การวิจัยแบบสำมะโน (Census research) เป็นการวิจัยที่ผู้วิจัยทำการเก็บรวบรวมข้อมูลจากทุก ๆ หน่วยของประชากร
4. การวิจัยแบบสำรวจจากตัวอย่าง (Sample survey research) เป็นการวิจัยที่ผู้วิจัยทำการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง
5. การศึกษาเฉพาะกรณี (Case study) การศึกษาเฉพาะกรณีเป็นการวิจัยที่นักสังคมสงเคราะห์นิยมใช้มาก ที่เรียกว่าการศึกษาเฉพาะกรณีก็เพราะเป็นการศึกษาเรื่องที่สนใจในขอบเขตจำกัดหรือแคบ ๆ และใช้จำนวนตัวอย่างไม่มากนัก แต่จะศึกษาอย่างลึกซึ้งในเรื่องนั้น ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อเท็จจริงที่จะทำให้ทราบว่าบุคคลนั้นหรือกลุ่มบุคคลนั้นมีความบกพร่องในเรื่องใด เนื่องมาจากสาเหตุใด เพื่อจะได้หาทางแก้ไขหรือช่วยเหลือต่อไป
6. การศึกษาแบบต่อเนื่อง (Panel study) เป็นการศึกษาที่มีการเก็บข้อมูลเป็น ระยะ ๆ เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาของกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งการศึกษาแบบต่อเนื่องนี้จะช่วยให้เข้าใจและทราบถึงลักษณะการเปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดี
7. การวิจัยเชิงทดลอง (Experimental research) เป็นการวิจัยที่ผู้วิจัยเก็บข้อมูลมาจากการทดลอง ซึ่งเป็นผลมาจากการกระทำ (Treatment) โดยมีการควบคุมตัวแปรต่าง ๆ ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
4. แบ่งตามลักษณะการวิเคราะห์ข้อมูล
ถ้ายึดลักษณะของการวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยแล้ว อาจแบ่งการวิจัยได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) เป็นการวิจัยที่นำเอาข้อมูลทางด้านคุณภาพมาวิเคราะห์ ข้อมูลทางด้านคุณภาพเป็นข้อมูลที่ไม่เป็นตัวเลขแต่จะเป็นข้อความบรรยายลักษณะสภาพเหตุการณ์ของสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และการเสนอผลการวิจัยก็จะออกมาในรูปของข้อความที่ไม่มีตัวเลขทางสถิติสนับสนุนเช่นเดียวกัน การวิจัยประเภทนี้จึงมุ่งบรรยายหรืออธิบายเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยอาศัยความคิดวิเคราะห์ เพื่อประเมินผลหรือสรุปผลนั่นเอง
2. การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative research) เป็นการวิจัยที่นำเอาข้อมูลเชิงปริมาณมาวิเคราะห์ กล่าวคือใช้ตัวเลขประกอบการวิเคราะห์ สรุปผล และการเสนอผลการวิจัยก็ออกมาเป็นตัวเลขเช่นเดียวกัน ดังนั้น การวิจัยประเภทนี้จึงมุ่งที่จะอธิบายเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยอาศัยตัวเลขยืนยันแสดงปริมาณมากน้อยแทนที่จะใช้ข้อความบรรยายให้เหตุผล
อนึ่งการวิจัยที่ดีนั้นไม่ควรใช้แบบใดแบบหนึ่งโดยเฉพาะ เพราะจะทำให้ผลที่ได้ไม่แจ่มชัดเท่าที่ควร ดังนั้นในการปฏิบัติมักจะประยุกต์การวิจัยทั้ง 2 ประเภทนี้เข้าด้วยกัน เพื่อให้ผลการวิจัยมีทั้งเหตุและผลและมีตัวเลขสนับสนุนอันจะทำให้ผลการวิจัยน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
5. แบ่งตามลักษณะวิชาหรือศาสตร์
เมื่อยึดลักษณะวิชาหรือศาสตร์เป็นเกณฑ์ในการแบ่งประเภทของการวิจัย จะแบ่งการวิจัยออกได้เป็น 2 ประเภทดังนี้
1. การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ (Scientific research) เป็นการวิจัยที่เกี่ยวกับปรากฎการณ์ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น การวิจัยประเภทนี้ได้กระทำกันมานานแล้ว และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อมวลมนุษย์อย่างมากมายเช่น การค้นพบยา รักษาโรค การค้นพบสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ เป็นต้น นอกจากนี้การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ยังสามารถใช้ แก้ปัญหาที่เกิดจากธรรมชาติได้อีกด้วย เนื่องจากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์มีเครื่องมือและอุปกรณ์ที่เที่ยงตรงและมีกฎเกณฑ์แน่นอน ตลอดจนสามารถควบคุมการทดลองได้เพราะทำการทดลองในห้องปฏิบัติการ จึงทำให้ผลการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ได้รับความเชื่อถือมาก การวิจัยทาง วิทยาศาสตร์อาจจำแนกตามสาขาต่าง ๆ ได้ดังนี้
1.1 สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพและคณิตศาสตร์ เช่น ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ ฯลฯ
1.2 สาขาวิทยาศาสตร์ เช่น ศิลยศาสตร์ รังสีวิทยา ฯลฯ
1.3 สาขาวิทยาศาสตร์เคมีและเภสัช เช่น อินทรีย์เคมี เภสัชศาสตร์ ฯลฯ
1.4 สาขาเกษตรศาสตร์และชีววิทยา เช่น สัตวศาสตร์ วนศาสตร์ ฯลฯ
1.5 สาขาวิศวกรรมศาสตร์และอุตสาหกรรมวิจัย เช่น วิศวกรรมชลประทาน วิศวกรรมไฟฟ้า ฯลฯ
2. วิจัยทางสังคมศาสตร์ (Social research) เป็นการวิจัยที่เกี่ยวกับสภาพแวดล้อม สังคม วัฒนธรรม และพฤติกรรมของมนุษย์ เช่น การวิจัยด้านปรัชญา สังคมวิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ เป็นต้น การวิจัยทางสังคมศาสตร์นี้แตกต่างกับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์มาก เนื่องจากสังคมศาสตร์เป็นวิชาที่ว่าด้วยสังคม สิ่งแวดล้อม และพฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งวัดไม่ได้โดยตรงและควบคุมได้ยาก แต่มนุษย์ก็ได้พยายามวัดโดยใช้เครื่องมือวัดทางอ้อม เช่น ใช้แบบทดสอบ แบบสอบถาม แบบวัดเจตคติ ฯลฯ และได้นำเอาวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาช่วยในการวิจัย ทำให้ผลการวิจัยเป็นที่น่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น การวิจัยทางสังคมศาสตร์อาจจำแนกตามสาขาต่าง ๆ ได้ดังนี้
2.1 สาขาปรัชญา เช่น วรรณคดี การศึกษา ฯลฯ
2.2 สาขานิติศาสตร์ เช่น กฎหมายแพ่ง กฎหมายการปกครอง ฯลฯ
2.3 สาขารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ เช่น การเมือง การปกครอง การบริหารราชการทั่วไป ฯลฯ
2.4 สาขาเศรษฐศาสตร์ เช่น การเงินและการคลัง เศรษฐศาสตร์การพัฒนา ฯลฯ
2.5 สาขาสังคมวิทยาศาสตร์ เช่น ประชากรศาสตร์ พัฒนาชุมชน ฯลฯ
การวิจัยทางสังคมศาสตร์เจริญก้าวหน้าช้ากว่าการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เพราะว่าปรากฏการณ์ทางสังคมศาสตร์นั้นมีข้อจำกัดหลายประการ เช่น
1) การควบคุมปรากฏการณ์ทางสังคมให้คงที่นั้นทำได้ยาก
2) เมื่อวัฒนธรรมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้มนุษย์เปลี่ยนแปลงไปด้วย
3) การทำนายผลบางอย่างล่วงหน้า อาจไม่เกิดผลนั้นขึ้นมาเพราะมนุษย์อาจป้องกันไว้ล่วงหน้าได้
4) การที่จะศึกษาความคิด ความรู้สึกและเจตคติของมนุษย์นั้นทำได้ยากและวัดได้ยาก
5) ปัญหาทางสังคมศาสตร์จะเหมือนกับปัญหาของสามัญชน ทำให้คนทั่วไปคิดว่าวิชาสังคมศาสตร์เป็นวิชาสามัญสำนึกได้
แม้ว่าการวิจัยทางสังคมศาสตร์จะมีข้อจำกัดอยู่หลายประการก็ตาม แต่การวิจัยทางด้านนี้ก็สามารถศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ได้มากพอสมควร
6. แบ่งตามระเบียบวิธีวิจัย
การแบ่งประเภทการวิจัยโดยยึดระเบียบวิธีวิจัยเป็นเกณฑ์นั้นเป็นที่นิยมใช้กันมาก ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้
1. การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ (Historical research) เป็นการวิจัยเพื่อค้นหาข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วในอดีต โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะบันทึกอดีตอย่างมีระบบ และมีความเป็นปรนัยจากการรวบรวมประเมินผล ตรวจสอบ และวิเคราะห์เหตุการณ์เพื่อค้นหาข้อเท็จจริงในอันที่จะนำมาสรุปอย่างมีเหตุผล การวิจัยประเภทนี้ต้องอ้างอิงเอกสารและวัตถุโบราณที่มีเหลืออยู่ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วมักไม่ใช้สถิติ สรุปได้ว่าการวิจัยประเภทนี้มุ่งที่จะบอกว่า “เป็นอะไรในอดีต” (What was) เช่น การวิจัยเรื่อง “ระบบการศึกษาของไทยในสมัยสมเด็จพระปิยมหาราช” เป็นต้น
2. การวิจัยเชิงบรรยายหรือพรรณนา (Descriptive research) เป็นการวิจัยเพื่อค้นหาข้อเท็จจริงในสภาพการณ์หรือภาวการณ์ของสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร การวิจัยประเภทนี้มักจะทำการสำรวจหรือหาความสัมพันธ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องของความเชื่อ ความคิดเห็น และเจตคติ จึงกล่าวได้ว่าเป็นการวิจัยที่มุ่งจะบอกว่า “เป็นอะไรในปัจจุบัน” (What is) นั่นเองเช่น การวิจัยเรื่อง “เจตคติของครูน้อยที่มีต่อผู้บริหารการศึกษา”
3. การวิจัยเชิงทดลอง (Experimental research) เป็นการวิจัยเพื่อค้นหาความสัมพันธ์เชิงเหตุและผลของปรากฏการณ์ต่าง ๆ การวิจัยประเภทนี้ต้องมีการควบคุมตัวแปรต้น เพื่อสังเกตตัวแปรตามที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อจะได้ทราบว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผล ดังนั้นตัวแปรในการวิจัยจึงต้องมีทั้งกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง สรุปได้ว่า การวิจัยประเภทนี้มุ่งที่จะบอกว่า “อะไรอาจจะเกิดขึ้น” (What may be) เช่น การวิจัยเรื่อง “การเปรียบเทียบความมีเหตุผลระหว่างกลุ่มที่สอนเรขาคณิตกับกลุ่มที่สอนตรรกศาสตร์”
แนวทางในการเลือกปัญหาเพื่อการวิจัย
ขั้นแรกของการวิจัยไม่ว่าจะเป็นการวิจัยประเภทใดก็ตาม นักวิจัยจะต้องเลือกปัญหาเพื่อศึกษาหรือค้นหาข้อเท็จจริงก่อน ซึ่งการเลือกปัญหาที่จะทำการวิจัยนี้ นับเป็นเรื่องสำคัญมากที่นักวิจัยจะต้องพิจารณาให้รัดกุมเพื่อให้สามารถทำวิจัยเรื่องนั้นสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
อนึ่ง ปัญหาที่สำคัญสำหรับนักวิจัยใหม่ ๆ ก็คือ ไม่รู้ว่าจะวิจัยเรื่องอะไร หรือไม่มีเรื่องที่จะวิจัย เพราะคิดว่าเรื่องนี้ ปัญหานี้มีคนทำมาแล้วทั้งนั้น ทำให้รู้สึกว่าการหาเรื่องทำวิจัยนั้นเป็นของยาก แต่แท้จริงแล้วยังมีปัญหาที่น่าทำการวิจัยอยู่มากมาย ทั้งนี้เพราะ
1. เมื่อเวลา สถานที่ ชุมชน หลักสูตร ฯลฯ เปลี่ยนแปลงจึงเป็นการยากที่จะลงสรุปอย่างแน่นอนได้ เพราะปัญหาทางสังคมนั้นไม่คงที่แน่นอนตลอดเวลา ไม่เหมือนกับการสรุปผลทางด้านวิทยาศาสตร์ เช่น เคมี ฟิสิกส์ หรือคณิตศาสตร์
2. ปัญหาทางสังคมที่เคยศึกษามาแล้ว สามารถนำมาศึกษาใหม่ได้ เมื่อเวลาและ สถานการณ์เปลี่ยนไป ทั้งนี้เพื่อให้มีความทันสมัยอยู่เสมอ หรือเมื่อต้องการเปรียบเทียบกับ ข้อสรุปเดิม
จึงเห็นได้ว่า ปัญหาในการวิจัยนั้นมีอยู่แล้วทั่ว ๆ ไป แต่ผู้วิจัยอาจจะยังมองหาไม่พบก็ได้ ทั้งนี้เพราะยังมีจุดบอดในการมองหาเรื่องที่จะทำวิจัย (Problem blindness) นั่นเอง
แนวทางในการเลือกปัญหาเพื่อการวิจัย
การเลือกปัญหาในการวิจัยนับว่าเป็นเรื่องสำคัญที่นักวิจัยต้องตัดสินใจและประเมินผลในทุก ๆ ด้าน เพื่อให้การวิจัยนั้นสำเร็จได้ด้วยดี หากเลือกปัญหาโดยไม่พิจารณาให้ถ่องแท้แล้ว อาจทำให้ต้องเลิกล้มหรือเปลี่ยนหัวข้อปัญหาใหม่ได้ อันจะทำให้เสียเวลา แรงงาน หรือเงินลงทุนโดยเปล่าประโยชน์ และยังบั่นทอนกำลังใจของผู้วิจัยอีกด้วย ด้วยเหตุนี้การเลือกปัญหาในการวิจัยจึงควรพิจารณาให้รอบคอบ และต้องแน่ใจว่าจะทำได้สำเร็จ จึงขอเสนอแนะแนวทางในการเลือกหัวข้อปัญหาที่จะทำการวิจัย ดังต่อไปนี้
1. ควรเป็นปัญหาที่ผู้วิจัยสนใจมากที่สุด โดยมีความสนใจในลักษณะต่อไปนี้คือ
1.1 มีความอยากรู้อยากเห็นในเชิงวิชาการ
1.2 มีศรัทธาแรงกล้าที่จะแสวงหาคำตอบในปัญหานั้น โดยปราศจากแรงจูงใจ ภายนอก เช่น การได้วุฒิบัตร การได้เกรด เป็นต้น แต่เป็นความสนใจภายในที่เกิดขึ้นจากความสนใจของผู้ทำวิจัยเอง
2. ควรคำนึงถึงคุณค่าของผลงานวิจัย ว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์หรือมีคุณค่ามากน้อยเพียงใดในด้านต่าง ๆ ต่อไปนี้
2.1 ในด้านก่อให้เกิดความรู้ใหม่ อาจเป็นในลักษณะสนับสนุน หรือคัดค้าน หรือสร้างทฤษฎีหรือหลักการขึ้นมาใหม่
2.2 ในด้านก่อให้เกิดสติปัญญา คือผลการวิจัยจะช่วยให้บุคคลมีความรู้ที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น และสามารถสนองความต้องการของบุคคลและสังคมได้
2.3 ในด้านการนำความรู้ไปใช้ กล่าวคือผลที่ได้จากการวิจัยสามารถนำไปใช้ปรับปรุงชีวิตหรือระบบงานให้ดีขึ้น โดยใช้ผลการวิจัยเป็นแนวทางในการปรับปรุง
3. ควรคำนึงถึงความสามารถในการวิจัย หมายถึง ผู้วิจัยจะต้องคำนึงถึงความสามารถในการทำวิจัยในด้านต่าง ๆ ต่อไปนี้
3.1 มีความรู้ความสามารถเพื่อหาความรู้เพิ่มเติมในทุก ๆ เรื่องที่เกี่ยวกับการวิจัยในปัญหานั้น
3.2 สามารถใช้เวลาและมีเงินเพียงพอที่จะทำการวิจัยในปัญหานั้น
3.3 ผู้วิจัยสามารถหาข้อมูลในปัญหานั้น ๆ ได้ และสามารถวิเคราะห์ได้อย่างเที่ยงตรงและมีประสิทธิภาพ
4. ควรคำนึงถึงสภาพแวดล้อมที่จะเอื้อต่อการวิจัย ได้แก่ สิ่งต่อไปนี้คือ
4.1 มีแหล่งวิชาการที่จะสามารถติดต่อหรือค้นคว้าหาความรู้ในปัญหาที่จะวิจัย
4.2 มีอุปกรณ์หรือเครื่องช่วยอำนวยความสะดวกในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล
4.3 การได้รับความร่วมมือจากผู้เกี่ยวข้องในการวิจัย เช่น กลุ่มตัวอย่าง ผู้สร้างเครื่องมือ การรวบรวมข้อมูล ผู้เกี่ยวข้องในการได้มาซึ่งข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล เป็นต้น
5. ลักษณะของหัวข้อปัญหาที่จะทำการวิจัย ควรจะมีลักษณะดังนี้
5.1 ปัญหาที่จะทำการวิจัยไม่ควรกว้างหรือใหญ่โตครอบจักรวาลเกินไป ควรให้พอเหมาะกับเวลา แรงงานและค่าใช้จ่ายที่ตนมีอยู่
5.2 ปัญหาที่จะวิจัยสามารถแก้ได้ด้วยวิธีการวิจัย และหาข้อมูลได้เพียงพอที่จะนำมาวิเคราะห์เพื่อตอบปัญหานั้น
5.3 ปัญหาที่จะวิจัยมีความสำคัญและมีประโยชน์ ทั้งในแง่ของการนำไปใช้และการเสริมสร้างความรู้ ไม่ใช่เป็นปัญหาที่ไร้สาระ
5.4 ปัญหาที่จะวิจัยไม่ควรเป็นเรื่องซ้ำซ้อนกับของผู้อื่น ยกเว้นในกรณีที่ต้องการค้นคว้าวิจัยเพื่อดูความเปลี่ยนแปลงของเรื่องนั้น หรือต้องการค้นคว้าวิจัยต่อในเรื่องเดิม
5.5 หลีกเลี่ยงปัญหาที่เป็นข้อถกเถียงและยังหาข้อยุติไม่ได้ ปัญหาเช่นนี้ไม่ควรนำมาเป็นหัวข้อปัญหาการวิจัย เช่น การถกเถียงทางปรัชญา หรือความคิดเห็นต่าง ๆ ที่ไม่สามารถตัดสินได้ว่าถูกหรือผิด
5.6 ปัญหาที่จะวิจัยต้องสามารถสร้างเครื่องมือเพื่อใช้ในการรวบรวมข้อมูลได้
5.7 ควรเลือกปัญหาวิจัยที่จะชี้ช่องทางให้ผู้อื่นทำวิจัยต่อไปได้ โดยขยายหรือแตกแขนงปัญหาออกไป อันจะทำให้เกิดความรู้กว้างขวางขึ้น
4605030610
การวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ
1 การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) เป็นการวิจัยที่มุ่งหาข้อเท็จจริงและข้อสรุปเชิงปริมาณ เน้นการใช้ข้อมูลที่เป็นตัวเลขเป็นหลักฐานยืนยันความถูกต้องของข้อค้นพบ และสรุปต่างๆ มีการใช้เครื่องมือที่มีความเป็นปรนัยในการเก็บรวบรวมข้อมูลเช่น แบบสอบถามแบบทดสอบ การสังเกต การสัมภาษณ์ การทดลอง เป็นต้น
2 การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เป็นการวิจัยที่นักวิจัยจะต้องลงไปศึกษาสังเกต และกลุ่มบุคคลที่ต้องการศึกษาโดยละเอียดทุกด้านในลักษณะเจาะลึก ใช้วิธีการสังเกตแบบมีส่วนร่วม และการสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการเป็นหลักในการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิเคราะห์ข้อมูลจะใช้การวิเคราะห์เชิงเหตุผลไม่ได้มุ่งเก็บเป็นตัวเลขมาทำการวิเคราะห์
ข้อแตกต่างระหว่างการวิจัยเชิงเชิงคุณภาพและการวิจัยปริมาณ
การวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพมีที่มาแตกต่างกัน กล่าวคือ การวิจัยเชิงคุณภาพมีพื้นฐานปรัชญาแบบธรรมชาตินิยม (Naturalism) ในขณะที่การวิจัยเชิงปริมาณมีพื้นฐานแบบปรัชญาแบบปฏิฐานนิยม (Positivism) ดังนั้น การค้นหาความจริงด้วยวิธีวิจัยเชิงคุณภาพจะเน้นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตามสภาพการณ์ที่เป็นธรรมชาติ ซึ่งบางครั้งเรียกว่า แนวคิดแบบปรากฎการณ์นิยม (Phenomenalism) แล้วอาศัยวิธีการพรรณนาเป็นสำคัญ ในขณะที่การค้นหาความจริงด้วยวิธีการวิจัยเชิงปริมาณต้องอาศัยกระบวนการหรือวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่อยู่บนรากฐานของข้อมูลเชิงประจักษ์ และขั้นตอนที่มีระเบียบแบบแผน
ในกระบวนการศึกษาวิจัยด้วยวิธีการเชิงคุณภาพจะเริ่มต้นด้วยข้อมูลสภาพการณ์หรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาศึกษาวิเคราะห์ด้วยวิธีการอุปมาน แล้วสรุปตีความผลการวิเคราะห์ตั้งเป็นองค์ความรู้ เป็นกฎหรือทฤษฎี กรณีของการศึกษาวิจัยวิธีการเชิงปริมาณจะเริ่มต้นด้วยกฎหรือทฤษฎีก่อน จากนั้นข้อมูลเชิงประจักษ์จะถูกรวบรวมและนำมาศึกษาวิเคราะห์ด้วยวิธีการอนุมาน และสรุปเป็นข้อค้นพบ
เปรียบเทียบความแตกต่างในคุณลักษณะของการวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงปริมาณ
การวิจัยเชิงคุณภาพ
การวิจัยเชิงปริมาณ
1. มีรากฐานมาจากปรัชญาแนวคิดแบบธรรมชาตินิยม(Naturalism)
2. มุ่งทำความเข้าใจในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างลึกซึ้ง
3. เป็นการวิจัยที่เน้นการพรรณนา/อธิบาย (Descriptive approach)
4. ให้ความสำคัญกับกระบวนการได้มาซึ่งความจริงโดยมองแบบองค์รวม (Wholistic view)
5. ใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงอุปมาน
6. มุ่งแสวงหาความรู้เพื่อสร้างเป็นกฏ/ทฤษฎี
7. สิ้นสุดการศึกษาวิจัยด้วยทฤษฎี
8. ส่วนใหญ่เป็นการวิจัยในสาขาวิชาสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
1. มีรากฐานมาจากปรัชญาแนวคิดแบบปฏิฐานนิยม (Phenomenalism)
2.มุ่งเน้นกาความจริงที่คนทั่วไปจะยอมรับ (common reality)
3. เป็นการวิจัยที่มุ่งเน้นการวิเคราะห์และทดลอง () ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยวิธีการทางสถิติ
4. ให้ความสำคัญกับผลที่จะได้รับมากกว่ากระบวนการการดำเนินการมีขั้นตอน ระเบียบแบบแผนที่ค่อนข้างแน่นอน
5. ใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงอนุมาน ด้วยการทดสอบคำตอบที่คาดคิดไว้ล่วงหน้า
6. เริ่มต้นการศึกษาวิจัยด้วยทฤษฎี
7. เริ่มต้นการศึกษาวิจัยด้วยทฤษฎี
8. ส่วนใหญ่เป็นการวิจัยในสาขาวิทยาศาสตร์
ที่มา : มนัส สุวรรณ. ระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ . พิมพ์ที่ โอ.เอส.พริ้นติ้ง เฮาส์ , กรุงเทพฯ . 2544.
ขั้นตอนของกระบวนการทำวิจัยสามารถแบ่งเป็น 5 ขั้นตอน ได้แก่
1. การกำหนดปัญหาการวิจัย (Problem definition) ซึ่งจะคลอบคลุมถึง ที่มาและความสำคัญของปัญหาการวิจัย จุดมุ่งหมายของการวิจัย สมมติฐานของการวิจัย และประโยชน์ที่จะได้รับ
2. การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง (Review related literature) เป็นการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องว่ามีใครทำวิจัยในประเด็นเกี่ยวกับปัญหานั้น ๆ ไว้บ้าง ผลการวิจัยได้ข้อค้นพบอะไรบ้าง การวิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยอย่างไร ตัวแปรที่ศึกษามีอะไรบ้าง กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาเป็นอย่างไร เครื่องมือและเทคนิคที่ใช้ทำวิจัยมีอะไร เป็นต้น
3. วิธีดำเนินการวิจัย (Method) เป็นการกำหนดกรอบแนวคิดในการวิจัย (conceptual framework) ว่าการวิจัยมีประเด็นและสาระสำคัญอะไรบ้าง และขอบเขตการวิจัยเป็นอย่างไร ตัวแปรที่ศึกษามีอะไรบ้างและนิยามอย่างไร แบบแผนการวิจัย (research design) เป็นอย่างไร การกำหนดประชากรและการเลือกกลุ่มตัวอย่าง การสร้างเครื่องมือการวิจัยและการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ การเก็บรวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล
4. การรายงานผลการวิจัย (Result) เป็นการแสดงผลลัพธ์จากการวิจัย แสดงผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลและแปลผลให้อยู่ในรูปแบบของรายงานการวิจัย
5. การสรุปและอภิปรายผล (Conclusion and Discussion) เป็นการสรุปการดำเนินงานทั้งหมดตั้งแต่การกำหนดปัญหาการวิจัย จุดมุ่งหมายการวิจัย วิธีดำเนินการวิจัยอย่างย่อ ผลการวิจัย และอภิปรายผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ตลอดจนข้อเสนอแนะในการประเด็นปัญหาวิจัยที่ควรได้รับการวิจัยต่อไป
การกำหนดประเด็นปัญหาในการวิจัยโดยทั่วไป
ปัญหาการวิจัย (Research Problem) หมายถึง สิ่งที่ก่อให้เกิดความสงสัย ใคร่รู้คำตอบ ดังนั้น การกำหนดปัญหาการวิจัย จึงหมายถึง การระบุประเด็นที่นักวิจัยสงสัย และประสงค์ที่จะหาคำตอบ ซึ่งก็คือ ปัญหาการวิจัย นั่นเอง ฉะนั้น นักวิจัยจึงจำเป็นต้องระบุปัญหาการวิจัยให้เป็นกิจลักษณะ และชัดแจ้งทุกครั้งที่ดำเนินการวิจัย
หลังจากกำหนดหัวข้อปัญหาในการวิจัยได้ตามความเหมาะสมแล้ว ขั้นต่อไปจะต้องกำหนดประเด็นปัญหาของการทำวิจัยในชัดเจน เป็นการตีกรอบปัญหาให้อยู่ในวงจำกัด ซึ่งการตีกรอบปัญหาให้ชัดเจนจะช่วยให้ผู้วิจัยกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัยออกมาให้เด่นชัดขึ้น เพื่อเป็นแนวทางในการออกแบบวิจัยและวางแผนงานของการวิจัยในขั้นอื่น ๆ ต่อไป
ประเด็นปัญหาในการวิจัย โดยปกติจะเป็นปัญหากว้าง ๆ ที่ผู้วิจัยสนใจและอยากรู้คำตอบ เช่น “การย้ายถิ่นของประชากรในประเทศไทย” เบื้องหลังปัญหานี้อาจมีสิ่งต่าง ๆ มากที่ผู้วิจัยอยากรู้ เช่น จำนวนผู้ย้ายถิ่น แบบแผนการย้ายถิ่นและ/หรือปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการย้ายถิ่น แต่ด้วยข้อจำกัดในเรื่องค่าใช้จ่าย เวลา และความรู้ความสามารถ อาจทำให้ผู้วิจัยไม่สามารถศึกษาได้ทุกประเด็น นั้นเป็นหน้าที่ของผู้วิจัยที่จะต้องเสนอหรือแสดงให้ผู้อื่นทราบและเข้าใจ การกำหนดประเด็นปัญหา คือวิธีการสรุปปัญหากว้าง ๆ ที่เลือกมาให้แคบงเพื่อสะดวกแก่การเข้าใจ
การกำหนดประเด็นปัญหาในการวิจัยทางการพัฒนาชุมชน
การพัฒนาชุมชนในอดีตที่ผ่านมา จะเห็นว่าการพัฒนาชุมชนหรือชนบทเป็นการพัฒนาในเชิงที่ “ชุมชนและท้องถิ่นถูกพัฒนา” รัฐบาลเป็นผู้กำหนดกรอบความคิดและวางแผนในการพัฒนาบ้านเมือง พัฒนาท้องถิ่น พัฒนาชุมชน แล้วรัฐบาลก็ไปจัดการ ไปดำเนินการผ่านกลไกของระบบราชการ ชุมชนและท้องถิ่นจึงถูกพัฒนา ซึ่งหมายถึง ถูกสั่ง ถูกบอก และร่วมพัฒนาไปด้วย กระบวนการพัฒนาเกิดขึ้นภายใต้ระบบราชการที่รัฐบาลเป็นผู้กำกับ จากข้างบนลงล่าง บทบาทของชุมชนและท้องถิ่นในการพัฒนาจึงเป็นบทบาทรอง เป็นบทบาทที่ไม่สำคัญ บทบาทที่โดดเด่นและมีความสำคัญก็คือรัฐ โดยรัฐเป็นผู้ดำเนินการพัฒนาชุมชน และชุมชนเป็นผู้ถูกพัฒนา ชุมชนร่วมพัฒนา
ในการกำหนดประเด็นปัญหาการวิจัยการพัฒนา ก็ต้องปรับกระบวนทัศน์ ปรับแนวคิดใหม่ จาก “ชุมชนถูกพัฒนา” ขยับเป็นขั้น “ชุมชนร่วมพัฒนา” ในกระบวนการวิจัยพัฒนาต้องให้ความสำคัญกับบทบาทของชุมชนมากขึ้น ให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการวิจัยด้วย เรียกว่า “ชุมชนเป็นศูนย์กลางของการวิจัย”
หนังสืออ้างอิง
1. มนัส สุวรรณ. ระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ . พิมพ์ที่ โอ.เอส.พริ้นติ้ง เฮาส์ , กรุงเทพฯ . 2544.
2. ยุทธ ไกยวรรณ์ . พื้นฐานการวิจัย (ฉบับปรับปรุงใหม่) . สุวีริยาสาส์น , กรุงเทพฯ . พิมพ์ครั้ง ที่ 4 . 2545.
นักวิจัยค้านผลทดสอบ โอริโอเสพติดได้เหมือนโคเคน ชี้ด่วนสรุปไป
นักวิจัยสหรัฐฯ ชี้ งานวิจัยที่ชี้ว่าโอริโอมีฤทธิ์เป็นสารเสพติดพอ ๆ กับโคเคน เป็นการด่วนสรุป เพราะการทดลองดังกล่าวยังไม่ครอบคลุม และใช้ตัวแปรที่ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้โดยตรง
จากที่ก่อนหน้านี้ มีผลการวิจัยของนักศึกษาจากวิทยาลัยคอนเนคติคัท ระบุว่า ขนมโอริโออาจะทำให้เกิดอาการเสพติดได้เทียบเท่ากับโคเคน จนสร้างความตื่นตระหนักให้แก่ชาวเน็ตในช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมานั้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2556 เว็บไซต์ไลฟ์ไซแอนท์ ได้รายงานว่า ผลงานวิจัยดังกล่าวไม่อาจะสรุปเป็นเช่นนั้นได้ทั้งหมด
สำหรับงานวิจัยก่อนหน้านี้ ผู้ทดลองได้นำหนูทดลองมาใส่ไว้ในเขาวงกตซึ่งมีทางออก 2 ทาง โดยทางหนึ่งนำทางมันไปสู่ขนมโอริโอ ขณะที่อีกทางหนึ่งนำไปสู่จุดหมายที่มีขนมข้าวพอง และจับตาดูว่าหนูทดลองเหล่านี้จะเลือกไปทางใดมากกว่ากัน ซึ่งจากผลทดลองพบว่า หนูส่วนมากเลือกที่จะวิ่งไปตามเส้นทางที่มีโอริโอรอมันอยู่เบื้องหน้า และพร้อมกันนั้นพวกเขาได้ทำการทดลองในรูปแบบเดียวกันเพื่อนำมาเปรียบเทียบ โดยเปลี่ยนขนมทั้ง 2 ชนิดมาเป็นการให้รางวัลพวกมันด้วยการฉีดโคเคนหรือมอร์ฟีนให้ กับอีกตัวเลือกหนึ่งคือการฉีดน้ำเกลือธรรมดาให้ ซึ่งผลปรากฎว่าหนูทดลองส่วนมากต่างก็เลือกที่จะวิ่งไปหาจุดหมายที่มีสารเสพติดรอพวกมันอยู่
ด้วยเหตุนี้ เมื่อนำมาเปรียบเทียบพฤติกรรมจากทั้ง 2 การทดลอง ซึ่งหนูทดลองจำนวนมากต่างวิ่งไปหาโอริโอมากกว่าข้าวพอง เช่นเดียวกับ ที่วิ่งไปหาโคเคนมากกว่าน้ำเกลือ โดยที่ทั้ง 2 กลุ่ม ใช้เวลาในการวิ่งไปหาสิ่งล่อที่มันพึงพอใจมากกว่าเท่า ๆ กัน ดังนั้นพวกเขาจึงได้ข้อสรุปว่า ขนมโอริโอนั้นก่อให้เกิดอาการเสพติดได้พอ ๆ กับการเสพโคเคนนั่นเอง ซึ่งหากจะดูกันจริง ๆ แล้ว ของล่อทั้ง 2 ชนิดที่ดึงดูดใจหนูทดลองได้มากกว่านี้ ก็ไม่น่าจะนำมาเทียบกันได้โดยตรงเลย ดังนั้นจริง ๆ แล้วการทดลองนี้ไม่น่าจะสามารถบ่งบอกว่า โอริโอจะถูกจัดเป็นสารเสพติดได้
ด้าน อีดิธ ลอนดอน นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส สหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้ใช้วิธีการฉายภาพสมองเพื่อศึกษาระบบประสาทของผู้ที่มีความอยากสิ่งเสพติด ก็ได้เผยในทำนองเดียวกันว่า งานวิจัยชิ้นนี้ไม่สามารถตัดสินได้ว่าโอริโอเสพติดได้มากเท่าโคเคน
นอกจากนี้ กลุ่มนักศึกษาที่ทดลองเรื่องดังกล่าวยังได้ศึกษาการเปลี่ยนแปลง ของโปรตีนที่เรียกว่า c-Fos ซึ่งใช้วัดการทำงานเซลล์สมอง ในส่วนที่เรียกว่า นิวเคลียส แอคคัมเบนส์ (Nucleus Accumbens) ของหนูที่ได้รับโอริโอหรือโคเคนด้วย ซึ่งเซลล์สมองส่วนนี้มีความสำคัญต่อความพึงพอใจและการได้รับแรงเสริมทางบวก รวมถึงความพึงพอใจที่ได้รับจากการเสพสารเสพติดด้วย ซึ่งจากการวิจัยพบว่า สมองส่วนนิวเคลียส แอคคัมเบนส์ของหนูพวกนี้จะมีปฏิกิริยาจากโอริโอมากกว่าโคเคนเสียอีก แต่ถึงอย่างนั้น อีดิธก็คิดว่างานวิจัยนี้ก็ไม่มีส่วนใดที่สามารถโยงได้ว่าขนมหวานโอริโอมีฤทธิ์เป็นสารเสพติดอยู่ดี
แม้ก่อนหน้านี้จะเคยมีงานวิจัยที่กล่าวถึงหนูที่ติดทานอาหารซึ่งมีรสหวานจัดหรือมีไขมันสูง แล้วค่อยถูกป้อนด้วยอาหารสุขภาพจะมีลักษณะการเปลี่ยนแปลงของสมองที่คล้ายกับในกลุ่มผู้ที่พยายามเลิกสิ่งเสพติด แต่ก็ไม่มีสิ่งใดบ่งชี้ว่าอาหารทำให้เกิดการเสพติดได้ ซึ่งในกรณีนี้ กาเบรียล แฮร์ริส ผู้ช่วยศาสตราจารย์สาขาวิทยา ศาสตร์การอาหาร จากมหาวิทยาลัยรัฐนอร์ทแคโรไลนา เคยกล่าวไว้ว่า ในทางชีววิทยา มนุษย์จะตอบสนองต่อรสชาติ รสสัมผัส และสีสันต่าง ๆ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นอาการเสพติด ดังนั้นจึงยังเป็นเรื่องที่ค่อนข้างห่างไกลหากจะกล่าวว่าโอริโอมีฤทธิ์เป็นสารเสพติด
เศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับชีวิตประจำวันของ “นิสิตนักศึกษา” อย่างไร?
เนื่องจากนิสิตนักศึกษาหลายมหาวิทยาลัยเพิ่งอยู่ในช่วงเปิดภาคเรียน [เสด-ถะ-สาด].com จึงขอให้กำลังใจนิสิตนักศึกษา โดยเฉพาะผู้ที่ตัดสินใจเองหรือเลือกไม่ได้ แต่สุดท้ายต้องเข้ามาเรียนเศรษฐศาสตร์ทุกคน ด้วยการนำเอาเรื่องราวสนุกๆ เกี่ยวกับวิธีคิดทางเศรษฐศาสตร์มาอธิบายวิถีชีวิตประจำวันของความเป็นนิสิตนักศึกษา
ทความนี้เรียบเรียงขึ้นในลักษณะเรื่องเล่าแทนที่จะเป็นวิชาการในแบบทความอื่นที่ผ่านมา ทั้งนี้ด้วยมีความมุ่งหวังในผู้อ่านเข้าใจพลังในการอธิบายของสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ที่มีอยู่มากมายแม้แต่เรื่องราวในชีวิตประจำวัน ไปพร้อมๆ กับความสนุกสนานในการอ่านบทความนี้ เน้นว่าเนื่องจากเป็นเรื่องราวสนุกๆ ดังนั้น อย่าจริงจังกับเนื้อหาของบทความมากเกินไปนะครับ เดี๋ยวจะไม่สนุกเอา แต่ทั้งนี้ ขอแนะนำว่าผู้อ่านควรมีความรู้พื้นฐานทางด้านเศรษฐศาสตร์อยู่บ้างพอสมควร
“นักคิดทางเศรษฐศาสตร์” (ที่มาของภาพ)
วิชาเศรษฐศาสตร์นั้นเริ่มต้นจากความเป็นจริงพื้นฐานที่ว่า โลกมีทรัพยากรอยู่จำนวนจำกัด (Limited Resources) แต่มนุษย์มีความต้องการอยู่อย่างไม่จำกัด (Unlimited Wants) จึงก่อให้เกิดความขาดแคลน (Scarcity) ขึ้นในสังคม และเศรษฐศาสตร์นี่เองที่เป็นแนวคิดสำคัญในการพิจารณาแนวทางการจัดสรรทรัพยากรเพื่อบำบัดความต้องการดังกล่าวให้เกิดประโยชน์สูงที่สุด (Best Allocation)
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ก็คงต้องนึกไปถึงบทที่ 1 ของวิชาเศรษฐศาสตร์เบื้องต้นตัวแรกที่เรียนกันตอนปี 1 ทั้งนี้ เพื่อพิจารณาว่ากระบวนการจัดสรรทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั้นกระทำได้ดีเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับว่ากระบวนการดังกล่าวสามารถตอบปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ (Basic Economic Problems) ที่ทุกระบบเศรษฐกิจกำลังเผชิญอยู่ได้ดีเพียงใดนั่นเอง
นิสิตเศรษฐศาสตร์ทุกคนย่อมนึกออกทันทีว่าปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่เคยเรียนกันมานั้นประกอบด้วย ๑) What ควรจะผลิตสินค้าอะไร ๒) How ควรจะผลิตสินค้านั้นอย่างไร และ ๓) For Whom ควรจะผลิตสินค้านั้นเพื่อตอบสนองความต้องการของใคร ซึ่งหากแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์สามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ การจัดสรรทรัพยากรก็จะเป็นไปอย่างดีที่สุด (แต่วิชาเศรษฐศาสตร์ก็อาจจะไม่มีความหมายอีกต่อไป)
เราคงต้องขอบคุณความขาดแคลน การแย่งชิงและความยุ่งเหยิงในระบบเศรษฐกิจ ที่สนับสนุนให้สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ดำรงอยู่ และเติบโตขึ้น เมื่อสิ่งเหล่านี้เพิ่มมากขึ้นตามกาลเวลา แต่รู้ไหมว่า แท้ที่จริงแล้ว สาเหตุที่ทุกระบบเศรษฐกิจ (อย่างน้อยก็ประเทศไทย) ยังคงเผชิญกับปัญหานี้อยู่ก็เพราะนักเศรษฐศาสตร์เองยังตอบปัญหาพื้นฐานที่ตนเองเผชิญไม่ได้ ปัญหาที่ผมกำลังพูดถึงเริ่มต้นมาจากรากฐานตั้งแต่สมัยยังเป็นนิสิตที่มักตอบคำถามนี้ไม่ได้คือ Why โดยเฉพาะ Why (Economics)? “ทำไมต้องเศรษฐศาสตร์?”
คำตอบสำหรับนิสิตเศรษฐศาสตร์เองข้อนี้ค่อนข้างยาก เพราะแค่จากจุดเริ่มต้นก่อนตัดสินใจมาเรียนเศรษฐศาสตร์ ผู้คนส่วนใหญ่ก็มักจะตอบไม่ได้แล้วว่า “ทำไมถึงต้องไปเรียนเศรษฐศาสตร์?” หรือที่แย่กว่านั้นคือคนที่กำลังเรียนเศรษฐศาสตร์อยู่ หลายคนก็ยังตอบไม่ได้ว่า “เรียนเศรษฐศาสตร์แล้วเอาไปใช้ทำอะไร?” สุดท้ายยิ่งเลวร้ายลงไปอีก เพราะคนที่จบเศรษฐศาสตร์หลายคนเองก็สงสัยว่า “เราเรียนอะไรกันไป?”
อันที่จริงแล้ว ก่อนจะลงมือเขียนบทความชิ้นนี้ ผู้เขียนได้พยายามหาคำตอบอยู่ (ทั้งที่ก็หาอยู่ตั้งแต่เป็นนิสิต) แต่เพื่อบทความนี้ ผู้เขียนจะพยายามบอกให้ได้ว่า “ทำไมต้องเศรษฐศาสตร์?” ด้วยการชี้ให้เห็นพลังในการอธิบายของเศรษฐศาสตร์ที่แม้แต่กับเรื่องการดำเนินชีวิตของนิสิต เศรษฐศาสตร์ก็ทำได้
ลองนึกตามเรื่องราวที่กำลังจะเล่ากัน………
เริ่มต้นจากข้อสมมติเบื้องต้น (Basic Assumptions) ที่กำหนดให้ข้อความที่จะเขียนต่อไปนี้ถูกต้องทุกประการ หากมีข้อสงสัยประการใด ห้ามถาม หากมีข้อโต้แย้งใดใด ก็ห้ามเถียงด้วยเช่นกัน เพราะบทความนี้ต้องการแสดงพลังในการอธิบายชีวิตประจำวันด้วยความสนุกสนานเท่านั้น
เมื่อเราตื่นนอนตอนเช้า เรารู้สึกงัวเงีย โดยรู้ว่า หากตื่นนอนตอนนี้เพื่อแต่งตัวออกไปเรียน ต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) ของการนอนจะเกิดขึ้น แต่การเข้าเรียนก็อาจจะทำให้เกิดผลประโยชน์ (Benefit) ขึ้นบ้าง (หากเรียนรู้เรื่อง ซึ่งโดยปกติ ความน่าจะเป็น (Probability) ของการเรียนรู้เรื่องอยู่ในระดับต่ำมาก) จากนั้น เราก็จะประมวลผลโดยใช้การวิเคราะห์ต้นทุนและผลได้ (Cost-Benefit Analysis) ซึ่งพบว่า ความน่าจะเป็นต่ำ (เพราะน่าจะเรียนไม่รู้เรื่อง) ผลได้ก็ต่ำ (เพราะถ้ารู้เรื่อง ก็คงรู้เรื่องไม่มาก) ขณะที่ต้นทุนสูง (เพราะกำลังนอนสบาย) สมการของเราในตอนเริ่มตื่นคือ Net Benefit = [p(ต่ำ) x B(ต่ำ)] – C(สูงมาก) นอกจากนี้ เราก็ยังพบว่า Cost under Certainty (ถ้าไปเรียนก็อดนอนแน่ๆ) มากกว่า Benefit under Uncertainty (ไม่แน่ว่าจะเรียนรู้เรื่องหรือไม่) ซึ่งทั้งหมดจะทำให้เราก็จะตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง(ตามหลักเศรษฐศาสตร์)
อย่างไรก็ตาม เมื่อเราฝืนความชอบ (Preference) ของตนเองเพื่อมาเข้าเรียน เราก็จะยิ่งตระหนักชัดว่า ทรัพยากรซึ่งในที่นี้ก็คือ เวลา มีอยู่อย่างจำกัด (Limited Resources) และควรต้องจัดสรรให้เกิดประโยชน์สูงที่สุด (Efficient Allocation) กล่าวคือ ไม่น่ามาเลย………….
ไม่เป็นไร ในครั้งต่อๆ ไป เราก็จะสามารถจัดสรรได้อย่างที่เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะเราเกิดการเรียนรู้ในการปรับตัว (Learning Effect) จนสุดท้ายเราจะได้ความสมดุลในการจัดสรรเวลานอนส่วนที่เพิ่มขึ้นและเวลาเรียนส่วนที่ลดลง (Marginal Benefit of Studying = Marginal Cost of Sleeping) นั่นคือ มาเรียนสาย(นิดหน่อย)ภายใต้เงื่อนไขความพอใจจากการนอนสูงที่สุด (Optimization with Constraint)
เมื่อเรานั่งเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์จุลภาค เราก็ได้แต่นั่งปั่นการบ้านวิชาเศรษฐศาสตร์มหภาค เมื่อย้ายไปเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์มหภาค เราก็ได้แต่นึกว่าวิชาสถิติเรียนไม่รู้เรื่อง และเมื่อไปเรียนวิชาสถิติ ก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อเช้าเศรษฐศาสตร์จุลภาคสอนอะไรไปบ้างหว่า….. นี่คือสถานการณ์หนึ่งของการไม่มีความสอดคล้องกันระหว่างความต้องการของผู้ให้และผู้รับ (Double Coincidence of Wants) และเราก็มักเป็นแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาด้วยสิ………เฮ้อ………..
เมื่อเรียนจบคาบ เราย่อมตระหนักดีว่า ความรู้แค่เรียนจบเทอมก็ลืมหมดแล้ว (Consumption Goods) แต่เกรดติดตัวเราไปตลอดชีวิต (Durable Goods) ประกอบกับการที่ตลาดแรงงานมีข่าวสารไม่สมมาตร (Asymmetric Information) ดังนั้น เกรดเฉลี่ย(น่าจะ)สำคัญกว่าความรู้ เพราะเป็นการส่งสัญญาณ (Signaling) ของการได้รับเงินเดือน (อย่างน้อยก้อตอนเริ่มต้น)
“ห้องเรียนห้องแรกของโลก ณ มหาวิทยาลัยแห่งเมืองโบโลญญ่า (ภาพประกอบโดย พงษ์ศักดิ์ เหลืองอร่าม)”
ตกเย็น เราจึงไปติวพิเศษ เพราะวัตถุประสงค์หลักคือสอบให้ผ่านหรือได้เกรดดีดี ภายใต้ความพยายามอันมีจำกัด ดังนั้น เป้าหมาย (Objective Function) คือคะแนน ส่วนข้อจำกัด (Constraint) คือความพยายาม เราจึง Maximize Objective Function under Effort Constraint เพื่อหาค่าสูงสุด……….(แม้ผลมันจะออกมาไม่ค่อยสูงเท่าไหร่)
ต่อมา เมื่อเลิกติวพิเศษตอนหัวค่ำ เราเดินไปศูนย์หนังสือเพราะอยากซื้อหนังสือ และพบว่าหนังสือราคา 400 บาท วิเคราะห์แล้ว “ไม่คุ้มค่า” เพราะเราคงใช้แค่ไม่กี่วันก่อนสอบ (และก็ไม่ได้ใช้อีก) เราจึงไม่ซื้อ จากนั้น เราไปเดินพารากอน เห็นเสื้อสวยแต่ราคา 1,000 บาท เราซื้อทันที เพราะความพึงพอใจ (Utility) ของเสื้อสูงกว่าความพอใจของเงิน 1,000 บาท (แน่นอนว่าจากหลัก Transitive แล้วสูงกว่าความพอใจของหนังสือ 400 บาทแน่ๆ) เราจึงกลับมาคิดว่า มนุษย์มีเหตุมีผล (Rationality) ตามหลักเศรษฐศาสตร์จริงๆ จึงรู้จักแยกแยะว่า สินค้าใดเป็นสินค้าจำเป็น (Necessary Goods) และสินค้าใดเป็นสินค้าไม่จำเป็น (Bads)
นอกจากนี้ ถ้าเราซื้อของเพลิดเพลินจนเงินที่ได้มาจากที่บ้านหมดก่อนกำหนด บทบาทของพ่อแม่ในฐานะผู้ให้กู้รายสุดท้าย (Last Resort) แบบที่ธนาคารกลางเป็นอยู่ก็เกิดขึ้นมาในความคิด และระบบอุปถัมภ์ (Cronyism) ก็ยังมีประโยชน์อยู่บ้างในสังคม (อย่างน้อยก็กับเราตอนนี้)
เสร็จธุระทั้งหมด เรากลับบ้าน แม่ซึ่งกำลังดูละครอย่างสนุกสนานใช้ให้เราไปล้างจาน เราก็แอบหงุดหงิด เพราะกำลังเหนื่อยๆ เนื่องจากเพิ่งกลับมา แต่พอเดินไปล้างจาน เหลือบไปเห็นพ่อกำลังซักผ้าอยู่พอดี นี่เองที่มโนทัศน์ทางด้านชนชั้น (Class) ของคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) และการแบ่งงานกันทำ (Division of Labor) ของอดัม สมิธ (Adam Smith) มาบรรจบกันพอดีระหว่างพ่อ แม่และเรา
ตกกลางคืน เราคุยโทรศัพท์กับแฟน ถ้าเพิ่งจีบกันก้อคงคุยกันสัก 4-5 ชั่วโมง แล้วค่อยนอน ก่อนนอนยังแอบส่งข้อความไปหาอีก ทั้งนี้เพราะเรารู้ดีว่าเรากำลังอยู่ในตลาดแข่งขันสมบูรณ์ (Perfect Competitive Market) แต่ถ้าเป็นแฟนกันแล้วสักพัก เวลาที่ใช้ในการคุยโทรศัพท์ก้อคงเหลืออยู่สัก 4-5 นาที เนื่องจากสภาพตลาดได้เปลี่ยนมาอยู่ในสภาวะของการผูกขาด (Monopoly) อีกทั้งความพึงพอใจของการคุยกับแฟนก็เริ่มอยู่ในจุดที่ลดน้อยถอยลงด้วย (Diminishing Marginal Utility)
จนกระทั่งวันหนึ่งพอใกล้สอบ เราก้อจะเข้าใจถึงการบริโภคข้ามเวลา (Inter-temporal Consumption) เพราะว่าเวลาที่แสนดีในช่วงก่อนใกล้สอบได้ถูกยืมไปบริโภคหมดแล้วในช่วงที่ผ่านมา แถมตลาดประกันภัย(จากการสอบ)ก็ไม่มีเสียด้วย (Lack of Contingent Claim Markets)
แต่เชื่อไหมว่า…เราสามารถอ่านหนังสือที่เคยตั้งใจว่าจะเริ่มอ่านมาตั้งแต่เปิดเทอม จนถึงสองวันก่อนสอบยังอ่านได้ไม่ถึง 10 หน้า จนจบทั้งเล่มได้ภายในสองวันที่เหลือ เราจึงทราบว่า ประสิทธิภาพ (Efficiency) คือหัวใจของการพัฒนาเศรษฐกิจจริงๆ (รวมทั้งชีวิตเรา)
เมื่ออยู่ในห้องสอบ เราจะนึกภาวนาให้สิ่งแวดล้อมรอบตัวเรามีอะไรที่ก่อให้เกิดผลกระทบภายนอก(ทางบวก)กับเรา (Externality) โดยเฉพาะถ้าทำไม่ได้ เราก็จะยิ่งภาวนาให้เกิดสภาวะที่เขียนอะไรก็ไม่รู้แต่ดันถูก (Adverse Selection)
แต่พอผลสอบออกมาเราก็ได้เรียนรู้ว่า ผลสอบเป็นสินค้าเอกชน (Private Goods) ไม่ใช่สินค้าสาธารณะ (Public Goods) เพราะทำแค่ไหนก็ได้เองแค่นั้น (Excludable) หรือเรียกอีกอย่างว่า “กฎแห่งกรรม” มีจริง ในที่นี้กรรมก็คือสินค้าเอกชนนั่นเอง
ไม่เป็นไร การสอบผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เพราะความรู้ที่เรามีอยู่สำคัญกว่า ปิดเทอมเราไปเที่ยวกับเพื่อนๆ จากหลายๆ สาขา ลองนึกดูว่า การบอกใครๆ ว่าเรียน “เศรษฐศาสตร์” จะทำให้เราดูน่าสนใจ (ทั้งที่หลายคนแทบจะไม่รู้อะไร) ความรู้ “เศรษฐศาสตร์” ทำให้เราสามารถพูดถึงเงินเป็นร้อยๆ ล้านได้อย่างน่าเชื่อถือ ทั้งที่จริงๆ แล้วอาจจะมีเงินอยู่ในกระเป๋าไม่ถึงร้อยบาท หรือเราอาจจะพูดถึงกระบวนการเก็งกำไร (Speculation) ค่าเงินในวันนี้ได้เป็นฉากๆ ทั้งที่ตัวเองยังใช้หนี้ที่ขาดทุนจากการเก็งกำไรเมื่อวานนี้ไม่หมด หรือแม้แต่เราอาจจะอธิบายเรื่องดอกเบี้ย (Interests) ได้อย่างมากมาย ทั้งที่ข้อสอบเศรษฐศาสตร์มหภาคเมื่อวันก่อนถามแค่เสี้ยวเดียวของทฤษฎีอัตราดอกเบี้ย แต่เราก็ยังงงๆ อยู่เลย
นอกจากนี้ การเรียนเศรษฐศาสตร์ยังจะช่วยให้เราอธิบายเพื่อนที่ถามได้ทุกเรื่อง เช่น เมื่อมีคนถามเราว่า “พรุ่งนี้หุ้นจะขึ้นหรือลง” “เมื่อไหร่ดอกเบี้ยจะลง” หรือ “ทำไมอัตราแลกเปลี่ยนถึงแข็งค่าขึ้น” เราสามารถอธิบายสิ่งเหล่านี้ได้โดยอ้างถึง “การเป็นไปตามอุปสงค์และอุปทาน หรือเป็นการทำงานของกลไกตลาด” (Market Mechanism)
แต่เมื่อไม่เป็นไปตามที่เราบอก เช่น หุ้นลงทั้งที่เราทายว่าขึ้น ดอกเบี้ยไม่ลงในเวลาที่เราบอก แถมยังปรับขึ้นอีก และเหตุผลที่เคยอธิบายถึงการแข็งค่าของอัตราแลกเปลี่ยน แต่ไม่ทันข้ามวัน มันกลับอ่อนค่าลงอย่างหนัก ทั้งนี้ เราก้อแค่ตอบเขาไปว่า “เพราะมีปัจจัยภายนอกมากระทบ” (Exogenous Factors) หรือไม่ก็ “กลไกตลาดไม่ทำงาน” (Market Failure)
โดยหลักการทางคณิตศาสตร์แล้ว เราเรียกว่า Complete คือ มันต้องเป็นจริงในกรณีใดกรณีหนึ่งแน่ๆ เนื่องจากมันมีแค่กลไกตลาดทำงานหรือไม่ก็ล้มเหลว สิ่งนี้ทำให้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลก นิสิตเศรษฐศาสตร์สามารถอธิบายได้หมด (ยกเว้นอธิบายตอบข้อสอบวิชาเศรษฐศาสตร์) รวมทั้ง หากเราจบไปแล้วเกิดหางานทำไม่ได้ (ซึ่งเป็นเรื่องปกติของบัณฑิตเศรษฐศาสตร์) เราก็ยังสามารถอธิบายกับคนอื่นๆ ได้ว่า อัตราการว่างงานมีกี่ประเภท เกิดขึ้นได้อย่างไร และมีผลกระทบอย่างไรต่อระบบเศรษฐกิจ
“เทคนิคการพยากรณ์ทางเศรษฐศาสตร์” (ที่มาของภาพ)
ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น หากไม่เชื่อว่า ความรู้เศรษฐศาสตร์สามารถใช้อธิบายได้ทุกเรื่อง อ่านบทความนี้จบแล้วลองเดินไปซื้อน้ำผลไม้ที่ร้านสะดวกซื้อ แล้วลองสังเกตดูว่า ร้านนี้เปิด 24 ชั่วโมง 7 วัน พูดง่ายๆ คือร้อยวันพันชาติไม่เคยปิด แต่ทำไมร้านนี้ต้องมีที่ล็อคประตู? ถ้าถามพนักงานที่ร้าน แล้วเขาตอบไม่ได้ (ยกเว้นเขาเรียนเศรษฐศาสตร์) แต่คำถามนี้ เชื่อสิว่านิสิตเศรษฐศาสตร์ทุกคนตอบได้…..ลองนึกดูกัน
ที่มา: บทความชิ้นนี้ปรับปรุงมาจากบทความที่ชื่อว่า “เศรษฐศาสตร์ว่าด้วยชีวิตประจำวันของนิสิต” โดย ธานี ชัยวัฒน์ เขียนขึ้นเพื่อพิมพ์ในหนังสือชื่อ “360o” หนังสือที่ระลึกงานเศรษฐศาสตร์วิชาการ’51 ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 26-30 พฤศจิกายน 2551 โดยคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ระบอบประชาธิปไตยและระบอบเผด็จการ
ระบอบประชาธิปไตย เป็นระบอบการปกครองที่ประชาชนมีอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ การปกครองตนเองของประชาชนดำเนินการโดยผ่านผู้แทนที่ประชาชนเลือกเข้าไปทำหน้าที่แทนตนตามระเบียบวิธีที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เราจึงอาจสรุปหลักการที่สำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยได้ดังต่อไปนี้
1. หลักอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน หมายความว่า ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจสูงสุดของรัฐ ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินปัญหาและกำหนดความเป็นไปของพวกเขาเอง แต่มิได้หมายความว่าประชาชน ทั้งประเทศจะต้องมานั่งถกเถียงหาทางแก้ปัญหา
2. หลักอำนาจอธิปไตยโดยปวงชน หมายถึง การให้ประชาชนมีส่วนร่วมในทางการเมือง รูปแบบของการเข้ามา มีส่วนร่วมของประชาชนจึงมีอยู่หลายทางด้วยกันที่สำคัญ คือ การเลือกตัวแทนของตนขึ้นไปทำหน้าที่ในรัฐสภา นอกจากนี้ประชาชนอาจทำได้โดยการช่วยรณรงค์หาเสียงให้ผู้สมัครที่ตนนิยมอยู่ หรือเข้าเป็นสมาชิกพรรคการเมือง ที่มีอุดมการณ์เดียวกัน เพื่อหาทางผลักดันให้นโยบายของพรรคนำมาใช้ปฏิบัติ
3. หลักอำนาจอธิปไตยเพื่อประชาชน สังคมประชาธิปไตยนั้น ผู้ปกครองหรือผู้มีอำนาจในการบริหารประเทศและรัฐบาลจะต้องไม่กระทำไปเพียงเพื่อผลประโยชน์ของคนในกลุ่มตนเท่านั้น ผู้ปกครองที่มาจากประชาชนในระบอบประชาธิปไตยนั้นจะต้องเป็นผู้ที่กระทำเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนส่วนใหญ่ด้วยให้สมกับความไว้วางใจของประชาชนที่เลือกตนเข้ามารับหน้าที่ ไม่เช่นนั้นเมื่อครบวาระอาจจะไม่ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนในสมัยต่อไปก็ได้
4. หลักเหตุผล ประชาธิปไตยประกอบด้วยหลักเหตุผล ทั้งนี้เนื่องจากคนแต่ละคนต่างก็มีแนวความคิดในการแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกันไปถ้าคนปราศจากเหตุผลแล้ว สังคมก็อาจยุ่งเหยิงไม่ได้ข้อยุติที่ดีและถูกต้อง ดังนั้นในระบอบประชาธิปไตยนั้นทุกคนจะต้องร่วมกันคิด โดยต่างก็เสนอความคิดเห็นแล้วอาจมีการเปิดอภิปราย มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง ต่างคนต่างรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นด้วยใจเป็นธรรม ข้อเสนอหรือความคิดเห็นของใครที่มีเหตุผลดีกว่าก็จะได้รับเลือกให้เป็นวิธีการแก้ไขปัญหานั้นๆ ต่อไป
5. หลักเสียงข้างมาก วิธีการหนึ่งที่จะรู้ได้ว่าระบอบประชาธิปไตยเป็นหลักการเพื่อปวงชน คือ หลักเสียงข้างมาก นั่นคือหลังจากที่ผู้แทนราษฎรได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์โดยการอภิปรายกันพอแล้ว ก็จะมีการออกเสียงลงคะแนนกัน ข้อเสนอที่ได้รับเสียงข้างมากจากที่ประชุมก็จะได้รับเลือกให้นำไปปฏิบัติ ทั้งนี้เพราะถือได้ว่าเป็นข้อเสนอที่มีเหตุผลของคนส่วนใหญ่
6. หลักความยินยอม ประชาธิปไตยจะต้องมีพื้นฐานมาจากความยินยอมอีกด้วย เมื่ออำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน และปวงชนได้เลือกตั้งตัวแทนของตนเพื่อใช้อำนาจดังกล่าว จึงถือได้ว่าผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้ามาใช้อำนาจเหล่านี้ได้รับความยินยอมจากปวงชน แต่จะมีอำนาจจำกัดตามรัฐธรรมนูญ และยังถูกจำกัดช่วงเวลาที่ได้รับความยินยอม คืออาจอยู่ในวาระช่วงระยะเวลาหนึ่ง (วาระครบ 4 ปี เป็นต้น) เมื่อครบวาระหรือมีการยุบสภาก็จะมีการเลือกตั้งใหม่ หากผู้แทนราษฎรผู้ใดได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากประชาชนจะได้รับเลือกเข้ามาทำหน้าที่ต่อไป
7. หลักประนีประนอม ในหลายกรณี หลังจากที่ผู้แทนราษฎรได้อภิปรายกันแล้ว และเล็งเห็นว่าข้อเสนอต่างๆ ที่ผู้แทนแต่ละคนเสนอไปนั้นมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันมาก หรือมีข้อขัดแย้งกันไม่มากนักที่ประชุมก็อาจใช้การประนีประนอมกัน โดยยึดหลักผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นเกณฑ์ ไม่จำเป็นต้องมีการลงคะแนนเสียงข้างมากก็ได้
8. หลักความเสมอภาค ประชาธิปไตยเชื่อว่ามนุษย์ต่างก็มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน แม้แต่รัฐธรรมนูญไทย ก็ยอมรับในหลักการนี้โดยเขียนไว้ว่า บุคคลย่อมเสมอภาคกันในกฎหมาย ฐานันดรศักดิ์โดยกำเนิดก็ดี โดยแต่งตั้งก็ดี โดยประการอื่นก็ดี ไม่กระทำให้เกิดอภิสิทธิ์แต่อย่างใดเลย ฉะนั้นกฎหมายในสังคมประชาธิปไตยจึงบังคับใช้กับบุคคลทุกคนโดยเสมอหน้ากันหมด
9. หลักเสรีภาพ สังคมประชาธิปไตย นอกจากจะให้ความสำคัญกับหลักความเสมอภาคแล้ว ยังให้ความสำคัญกับหลักเสรีภาพด้วย กล่าวคือ รัฐในระบอบประชาธิปไตยจะต้องส่งเสริมเสรีภาพต่างๆของปวงชน เช่น เสรีภาพในการพูด การเขียน การอบรมศึกษา การรวมตัวกันเป็นสมาคม เป็นต้น แต่ทั้งนี้เสรีภาพเหล่านี้จะถูกจำกัดโดยกฎหมายนั้นคือ ประชาชนต้องไม่ใช้เสรีภาพนี้เพื่อทำลายหรือรบกวนเสรีภาพของผู้อื่น
10. หลักนิติธรรม หมายถึงการยึดถือกฎหมายเป็นเกณฑ์กติกา และหลักประกันความเสมอภาคให้ประชาชนได้รับการคุ้มครอง สิทธิเสรีภาพ และการรักษาผลประโยชน์ส่วนรวม เพื่อความถูกต้อง สงบเรียบร้อยและชอบธรรม โดยรัฐบาลจะต้องบังคับใช้กฎหมายแก่คนทุกคนโดยเท่าเทียมกันไม่ให้มีการละเมิดสิทธิ เพราะเหตุแห่งความเป็นผู้มีอิทธิพลยศถาบรรดาศักดิ์ เงินทอง หรืออภิสิทธิ์อื่น ๆ
11. หลักการปกครองตนเอง เมื่อสังคมประชาธิปไตยให้ความสำคัญกับหลักความเสมอภาคและหลักเหตุผล เชื่อว่ามนุษย์สามารถปรับปรุงตัวเองให้ก้าวหน้า รวมทั้งแก้ไขปัญหาของตนเองได้ โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ปกครองตนเอง ทั้งนี้เพราะพวกเข้ารู้ดีกว่าคนอื่นๆ ว่าตนเองต้องการอะไร หรือสิ่งใดที่เป็นผลประโยชน์ของพวกเขา ซึ่งผลประโยชน์เหล่านี้อาจจะอยู่ในแง่รูปธรรม เช่น สวัสดิการทางสังคมต่างๆ หรืออาจจะอยู่ในแง่ของนามธรรม เช่นเสรีภาพในการรวมตัวกันเป็นสมาคมก็ได้
รูปแบบของการปกครองระบอบประชาธิปไตย
ในประเทศประชาธิปไตยนั้น ไม่ได้มีรูปแบบการปกครองเหมือนๆ กันทั้งหมด นักวิชาการได้พยายามเสนอหลักเกณฑ์ต่างๆ ที่อาจใช้แบ่งรูปแบบการปกครองของประเทศประชาธิปไตยมากมายด้วยกัน สรุปได้เป็น 2 หลักเกณฑ์ ดังนี้
1. หลักประมุขของประเทศ แบ่งรูปแบบประชาธิปไตยได้ 2 ลักษณะคือ
1) มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข พระมหากษัตริย์จะทรงใช้อำนาจอธิปไตย ซึ่งเป็นของปวงชน โดยใช้องค์กรแยกกันเป็น 3 ทางคือ ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติโดยผ่านทางรัฐสภา อำนาจบริหารโดยผ่านทางคณะรัฐมนตรี และอำนาจตุลาการโดยผ่านทางศาล ส่วนองค์พระมหากษัตริย์จะทรงเป็นกลางในทางการเมือง เช่น ไทย อังกฤษ
2) มีประธานาธิบดีเป็นประมุข ผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ทำหน้าที่เป็นประมุขของรัฐเพียงหน้าที่เดียว เช่น สิงคโปร์ อินเดีย ฯลฯ และบางประเทศประธานาธิบดีทำหน้าที่เป็นประมุข ของฝ่ายบริหารด้วย เช่น สหรัฐอเมริกา อินโดนีเซีย ฯลฯ
2. หลักการรวมและการแยกอำนาจ แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ
1) แบบรัฐสภา ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ได้แก่ การมีเฉพาะผู้แทนราษฎรเพียงสภาเดียวหรืออาจมี 2 สภาก็ได้ มีทั้งสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งตัวแทนหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ประชาชนเป็นผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ซึ่งมาจากการเลือกตั้ง และวุฒิสภาซึ่งเป็นสภาของผู้ทรงคุณวุฒิ ส่วนมากสมาชิกได้มาจากการแต่งตั้ง แต่สมาชิกวุฒิสภาในบางประเทศก็มาจากการเลือกตั้ง ชื่อสภาอาจเรียกต่างกันได้ เช่น ในอังกฤษเรียกสภาผู้แทนราษฎรว่า สภาล่างและวุฒิสภาว่า สภาสูงหรือสภาขุนนาง แต่โดยหลักการสภาทั้งสองต้องประชุมร่วมกันรวมกันเป็นรัฐสภา ผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหาร คือมีอำนาจในการออกกฎหมายเพื่อใช้ปกครองประเทศ และมีอำนาจบริหารในการให้ความเห็นชอบหรือจัดตั้งรัฐบาล และควบคุมการบริหารของรัฐบาลด้วย คือ รัฐบาลบริหารด้วยความไว้วางใจของรัฐสภา ในทางปฏิบัติถือกันเป็นหลักเกณฑ์ว่า สมาชิกสภากลุ่มหรือพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากสนับสนุนจะได้สิทธิในการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อทำหน้าที่บริหารบ้านเมือง แต่รัฐบาลจะต้องอยู่ในความควบคุมของสมาชิกรัฐสภา ลักษณะดังกล่าวนี้ รัฐสภาและรัฐบาลต่างทำหน้าที่ของตน แต่รัฐสภาควบคุมรัฐบาลด้วยกระบวนการตามรัฐธรรมนูญ และอาจลงมติไม่ไว้วางใจเพื่อให้รัฐบาลลาออกได้ ส่วนรัฐบาลก็อาจยุบสภาได้ ทำให้เกิดความสมดุลแห่งอำนาจ
2) แบบประธานาธิบดี ระบอบประชาธิปไตยแบบประธานาธิบดีมีลักษณะคล้ายคลึงกับแบบรัฐสภา การมีรัฐสภาเหมือนกัน แต่มีลักษณะที่แตกต่างกัน คือ การมีประธานาธิบดีเป็นผู้ใช้อำนาจบริหาร โดยประธานาธิบดีมีสิทธิและหน้าที่ในการจะแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีขึ้นมาชุดหนึ่ง เพื่อบริหารประเทศและรับผิดชอบร่วมกัน ส่วนอำนาจนิติบัญญัตินั้นก็ยังคงตกอยู่ที่รัฐ สภาการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบประธานาธิบดีนี้ ทั้งประธานาธิบดีและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต่างก็ได้รับเลือกจากประชาชน ทั้งสองฝ่ายจึงต้องรับผิดชอบโดยตรงต่อระชาชน ส่วนอำนาจตุลาการยังคงเป็นอิสระ ฉะนั้นอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ ต่างก็เป็นอิสระและแยกกัน สถาบันผู้ใช้อำนาจทั้งสามจะเป็นตัวที่คอยยับยั้งและถ่วงดุลกันและกัน ไม่ให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดใช้อำนาจเกินขอบเขต เช่น การปกครองของสหรัฐอเมริกา เป็นต้น
3) แบบกึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดี ระบอบประชาธิปไตยแบบนี้ประธานาธิบดีเป็นทั้งประมุขของรัฐและบริหารราชการแผ่นดินร่วมกับนายรัฐมนตรี ในด้านการบริหารนั้นนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ลงนามประกาศใช้กฎหมาย และคณะรัฐมนตรีก็ยังคงเป็นผู้ใช้อำนาจบริหาร แต่ต้องรับผิดชอบต่อรัฐสภา ส่วนรัฐสภาเองก็ยังคงทำหน้าที่สำคัญ คือ ออกกฎหมายและควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน ประธานาธิบดีในระบอบประชาธิปไตยแบบนี้ เป็นผู้กำหนดนโยบายต่างประเทศและการเมืองโดยทั่วๆ ไป ทั้งยังทำหน้าที่อนุญาโตตุลาการ ระหว่างรัฐสภากับคณะรัฐมนตรี นอกจากนี้ยังมีอำนายยุบสภาได้ด้วย จึงมีอำนาจมาก เช่น อินเดีย ฝรั่งเศส
ประเภทของประบอบประชาธิปไตย แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
1. ประชาธิปไตยโดยทางตรง เป็นรูปแบบการปกครองที่ให้ประชาชนทั้งประเทศ เป็นผู้ใช้อำนาจในการปกครองโดยตรง ด้วยการประชุมร่วมกัน พิจารณา ตัดสินปัญหาร่วมกันในที่ประชุมโดยตรง และจะเป็นผู้เลือกตั้งเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานของรัฐโดยตรง เราจะเห็นว่าประชาธิปไตยประเภทนี้จะใช้ได้ในเชิงปฏิบัติจริงๆ ก็แต่เฉพาะในสังคมเล็กๆ หรือประเทศเล็กๆ ที่มีสมาชิกจำนวนน้อย ซึ่งแต่ละคนมีโอกาสอภิปราย วิพากษ์วิจารณ์ และพิจารณาปัญหาต่างๆ อย่างละเอียดและมีเหตุผล แต่ถ้านำเอาประชาธิปไตยประเภทนี้มาใช้กับสังคมขนาดใหญ่ที่มีสมาชิกจำนวนมากแล้วจะเป็นอุปสรรค เนื่องจากความไม่พร้อมเพรียงกัน และการที่จะหาสถานที่ประชุมขนาดใหญ่ เพื่อจะให้ประชาชนทั้งประเทศมาประชุมในที่เดียวกันย่อมเป็นไปได้ยากยิ่ง
2. ประชาธิปไตยโดยทางอ้อม เป็นประชาธิปไตยอีกประเภทหนึ่งซึ่งเป็นผลเนื่องมาจากประเทศต่างๆ ของโลกได้ขยายตัวออกไปมาก ประชาชนพลเมืองเพิ่มขึ้น ปัญหาต่าง ๆ เกิดขึ้นมามาก ฉะนั้นโอกาสที่ประชาชนทั้งประเทศจะมานั่งปรึกษาหารือกันเพื่อแก้ปัญหากันแบบประชาธิปไตยโดยทางตรงย่อมเป็นไปไม่ได้ เพื่อแก้ไขอุปสรรคนี้แทนที่ประชาชนทุกคนจะต้องมาประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณาตัดสินปัญหาใด ก็จะให้ประชาชนได้มีโอกาสเลือกตัวแทนหรือที่รู้จักในนาม สมาชิกรัฐสภา เข้าไปสู่ที่ประชุมแทน ส่วนลักษณะและวิธีการเลือกสมาชิกรัฐสภาของประชาชนในแต่ละประเทศจะแตกต่างกันไป
ข้อดีและข้อเสียของประชาธิปไตย
ข้อดี
1. ประชาชนมีสิทธิ เสรีภาพและเสมอภาค ประชาชนทุกคนมีสิทธิแห่งความเป็นคนเหมือนกันไม่ว่ายากดี มีจน เช่น สิทธิในร่างกาย สิทธิในทรัพย์สินทุกคนมีเสรีภาพในการกระทำใด ๆ ได้หากเสรีภาพนั้นไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น เช่น เสรีภาพในการนับถือศาสนา เสรีภาพในการพูด การเขียน การวิพากษ์วิจารณ์ และทุกคนมีความเสมอภาค หรือเท่าเทียมกันที่จะได้รับการคุ้มครองโดยกฎหมาย มีความเสมอภาคในการประกอบอาชีพ เป็นต้น
2. ประชาชนปกครองตนเอง ประชาชนสามารถเลือกตัวแทนไปใช้อำนาจนิติบัญญัติในการออกกฎหมาย มาใช้ปกครองตนเอง และเป็นรัฐบาลเพื่อใช้อำนาจบริหาร ซึ่งสามารถสนองตอบความต้องการของประชาชนส่วนรวมได้ดี เพราะผู้บริหารที่เป็นตัวแทนของปวงชนย่อมรู้ความต้องการของประชาชนได้ดี
3. ประเทศมีความเจริญมั่นคง การมีส่วนร่วมในการปกครองตนเองทำให้ประชาชนมีความพร้อมเพรียงในการปฏิบัติตามกฎ และระเบียบที่ตนกำหนดขึ้นมา ยอมรับในคณะผู้บริหารที่ตนเลือกขึ้นมาและประชาชนไม่มีการต่อต้าน ทำให้ประเทศมีความสงบสุขเจริญก้าวหน้าและมั่นคง
ข้อเสีย
1. ดำเนินการยาก ระบอบประชาธิปไตยเป็นหลักการปกครองที่ดี แต่การที่จัดสรรผลประโยชน์ตรงกับความต้องการประชาชนทุกคนย่อมทำไม่ได้ นอกจากนั้นยังเป็นการยากที่จะให้ประชาชนทุกคนมีความรู้ความเข้าใจและปฏิบัติตามสิทธิ เสรีภาพทุกประการ ทั้งนี้เพราะวิสัยของมนุษย์ย่อมมีความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ การดำเนินชีวิตของมนุษย์ในสังคมจึงมีการกระทบกระทั่งและละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นได้
2. เสียค่าใช้จ่ายสูง การปกครองระบอบประชาธิปไตยจำเป็นต้องให้ประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้งผู้แทน เพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่แทนตน การเลือกตั้งในแต่ละระดับต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก ทั่งงบประมาณดำเนินงานของทางราชการและค่าใช้จ่ายของผู้สมัครรับเลือกตั้ง
3. มีความล่าช้าในการตัดสินใจ การตัดสินใจในระบอบประชาธิปไตยต้องใช้เสียงส่วนใหญ่ โดยผ่านขั้นตอนการอภิปราย แสดงเหตุผลและมติที่มีเหตุผลเป็นที่ยอมรับของสมาชิกส่วนใหญ่ จึงต้องดำเนินตามขั้นตอน ทำให้เกิดความล่าช้า เช่น การตรากฎหมาย ต้องดำเนินการตามลำดับขั้นตอนของวาระ อาจใช้เวลาเป็นสัปดาห์ เป็นเดือน หรือบางฉบับต้องใช้เวลาเป็นปี จึงจะตราออกมาเป็นกฎหมายได้
ระบอบเผด็จการ
ระบอบเผด็จการคือ ระบอบการเมืองการปกครองที่โอกาสในการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ตกลงใจถูกจำกัดอยู่ในบุคคลเพียงคนเดียวหรือสองสามคน กล่าวคือจะใช้โอกาสในการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ โดยใช้อำนาจที่ตนมีอยู่ปิดกั้นการแสดงออกของประชาชน หากประชาชนคัดค้านก็จะถูกผู้นำหรือคณะบุคคลลงโทษหลักการสำคัญของระบอบเผด็จการ มีดังนี้
1) ผู้นำคนเดียว หรือคณะผู้นำของกองทัพ หรือของพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว กลุ่มเดียว มีอำนาจสูงสุดในการปกครอง สามารถใช้อำนาจนั้นได้อย่างเต็มที่โดยไม่ฟังเสียงคนส่วนใหญ่ของประเทศ
2) การรักษาความมั่นคงของผู้นำหรือคณะผู้นำมีความสำคัญกว่าการคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพของประชาชน ประชาชนไม่สามารถที่จะวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของผู้นำได้เลย
3) ผู้นำหรือคณะผู้นำสามารถที่จะอยู่ในอำนาจได้ตลอดชีวิต ตราบเท่าที่กลุ่มผู้ร่วมงาน หรือกองทัพยังให้ความสนับสนุนอยู่ ประชาชนทั่วไปไม่มีสิทธิที่จะเปลี่ยนผู้นำได้โดยวิถีทางรัฐธรรมนูญ
4) รัฐธรรมนูญหรือการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญและรัฐสภา ไม่มีความสำคัญต่อกระบวนการทางการปกครองเหมือนในระบอบประชาธิปไตย กล่าวคือ รัฐธรรมนูญเป็นแต่เพียงรากฐานรองรับอำนาจของผู้นำหรือคณะผู้นำเท่านั้น ไม่ใช่ตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง
ลักษณะการปกครองแบบเผด็จการ
1. ไม่สนับสนุนให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองการปกครองของประเทศ
2. จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง
3. ยึดหลักความมั่นคง ปลอดภัยของรัฐเป็นสำคัญ ยกย่องอำนาจและความสำคัญขอรัฐ เหนือเสรีภาพของประชาชน
4. ยึดหลักรวมอำนาจการปกครองไว้ที่ส่วนกลางของประเทศ ให้อำนาจอยู่ในมือผู้นำเต็มที่
5. ยึดหลักการใช้กำลัง การบังคับ และความรุนแรง เพื่อควบคุมประชาชนให้ปฏิบัติตามความต้องการของผู้นำ
6. ประชาชนต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามผู้นำอย่างเคร่งครัด ไม่มีสิทธิโต้แย้งในนโยบายหรือหลักการของรัฐ
7. สร้างความรู้สึกไม่มั่นคงในชีวิตให้แก่ประชาชน จนประชาชนเกิดความหวั่นวิตกเกรงกลัวอันทำให้อำนาจรัฐเข้มแข็ง
รูปแบบการปกครองแบบเผด็จการ
ระบบการปกครองแบบเผด็จการ แบ่งเป็น 2 รูปแบบ คือ
1. เผด็จการอำนาจนิยม มีลักษณะ ดังนี้
– อำนาจทางการเมืองเป็นของผู้ปกครอง ประชาชนไม่มีสิทธิ
– ควบคุมสิทธิเสรีภาพของประชาชนอันเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตย
– ยอมให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในครอบครัว การนับถือศาสนา การดำเนินชีวิต การประกอบอาชีพ โดยที่รัฐมีสิทธิแทรกแซง
2. เผด็จการแบบเบ็ดเสร็จ มีลักษณะ ดังนี้
– ควบคุมอำนาจประชาชนทั้งทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ
– ไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมในการปกครองใด ๆ ทั้งสิ้น
– รัฐเข้าดำเนินงานทางด้านเศรษฐกิจทั้งหมด โดยประชาชนเป็นเพียงผู้ให้แรงงาน
– มีการลงโทษอย่างรุนแรงหากประชาชนฝ่าฝืนหรือต่อต้าน ประชาชนต้องเชื่อฟังรัฐบาล ผู้นำ ผู้ปกครองอย่างเคร่งครัด
– การปกครองแบบนี้ ได้แก่ การปกครองของรัฐคอมมิวนิสต์ในปัจจุบัน
ข้อดีของระบบเผด็จการ
1. ช่วยให้การปกครองมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายอย่างรวดเร็ว
2. สามารถแก้ไขวิกฤตการณ์หรือภาวะฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็ว
3. ยกย่องผู้ที่มีความรู้ความสามารถสูงเพื่อช่วยปรับปรุงประเทศให้ก้าวหน้า
4. สร้างความเจริญก้าวหน้าและพัฒนาในด้านต่างๆ อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรม ตัวอย่างเช่น -ประเทศเยอรมัน ในสมัยรัฐบาลนาซีภายใต้ฮิตเลอร์ -ประเทศอิตาลีในสมัยรัฐบาลฟาสซิสต์ภายใต้มุสโสลินี -ประเทศโซเวียต ภายใต้การนำพรรคคอมมิวนิสต์ -ประเทศจีน ภายใต้การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์
ข้อเสียของระบบเผด็จการ
1. จำกัดและขัดขวางสิทธิเสรีภาพของประชาชน
2. สกัดกั้นมิให้ผู้มีความสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างความเจริญก้าวหน้าของประเทศ
3. ผู้ปกครองและพรรคพวกอาจใช้อำนาจเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์
4. ก่อให้เกิดการต่อต้าน ประเทศชาติขาดความสงบสุข5. ก่อให้เกิดการถดถอยทางเศรษฐกิจและสังคม อันเนื่องมาจากการผูกขาดอำนาจและผลประโยชน์ของชนชั้นผู้นำและพวกพ้อง
ข้อดีและข้อเสียของประชาธิปไตย
ต้นกำเนิดของประชาธิปไตยพบว่า ในสมัยโบราณที่มีอำนาจในการออกเสียงลงคะแนน มีความแตกต่างกันระหว่างประเทศประชาธิปไตยที่เก่าแก่และทันสมัย ข้อดีและข้อเสียของระบอบประชาธิปไตย ในข้อดีและข้อเสียของการปกครองระบอบประชาธิปไตย
จากงานนิพนธ์ของกรีกคำว่า ‘kratein’ซึ่งหมายถึง’กฎ’ ดังนั้นประชาธิปไตยถูกกำหนดให้เป็นระบบการเมืองที่ผู้คนสามารถไปลงคะแนนเลือกตั้งสำหรับรัฐบาลในการที่พวกเขาต้องการที่จะผู้ปกครอง ประชาธิปไตยถูกพบครั้งแรกในกรีกโบราณเกือบสามพันกว่าปีที่ผ่านมา ในตอนแรกมีเพียงกลุ่มเล็ก ๆ ของคนมีอำนาจในระบอบประชาธิปไตย, การเลือกผู้แทนซึ่งมีฐานะที่เป็นเสียงส่วนใหญ่ของประเทศ, ประชาธิปไตยเป็นการให้โอกาสแสดงความคิดเห็นทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยในปัจจุบันประเทศเป็นประชาธิปไตยมีสิทธิที่จะแสดงความคิดของพวกเขาปฏิบัติและมีสิทธินับถือศาสนาของพวกเขาและเลือกงานของตัวเอง ประเทศประชาธิปไตยมีการพิสูจน์ที่ประสบความสำเร็จตลอดปี
ประชาธิปไตยมีข้อดีหลายประการ ประชาธิปไตยจะช่วยให้เรามีอิสระในการทำสิ่งที่เราต้องการจะทำตราบใดที่เราไม่ได้รุกล้ำสิทธิคนอื่น ๆ ตัวอย่างเช่นเราสามารถพูดหรือคิดว่าสิ่งที่เราต้องการพดู หรือมีเสรีภาพในการย้ายถิ่นฐานไปในที่สถานที่ใด ๆ รวมทั้งการ คิดและการแสดงออกและเสรีภาพในการปฏิบัติงานตามวิชาชีพ และการนับถือศาสนาที่มีความแตกต่างกันโดยไม่รังเกียจเดียดฉันท์ แม้ขณะนี้บางประเทศเช่นซาอุดีอาระเบียไม่ได้มีสิทธิเหล่านั้นเช่นเสรีภาพใน การพูดเสรีภาพในการสั่งสอนและการปฏิบัติศาสนาของเราเองในที่สาธารณะยกเว้นการมีอิสระในการย้ายถิ่นฐานได้อย่างอิสระในประเทศ
ในระบอบประชาธิปไตยของบุคคลอื่น ๆ สามารถชี้ข้อผิดพลาดพรรคในเซสชั่น การทำงานในการตัดสินใจเป็นของรัฐบาลที่จะมีการตัดสินใจทุกอย่างของประเทศ ประชาธิปไตยยังเคารพในความคิดมุมมองอื่น ๆ ของการแสดงออกและศาสนา มีเสมอการเลือกตั้งที่เสรีและยุติธรรมจัดขึ้นในระบอบประชาธิปไตยซึ่งหมายความว่าคุณสามารถเลือกคนที่คุณต้องการเป็นตัวแทนของคุณ
ประชาธิปไตยนอกจากนี้ยังให้สิทธิตามกฎหมายเท่าเทียมกัน มันไม่ได้เป็นการแบ่งแยกตามเพศ สีหรือศาสนา ชนกลุ่มน้อยได้รับการยอมรับ ไม่ว่าคุณจะเป็นสีดำหรือสีขาวหรือสีใด ๆ หรือเป็นคริสเตียนหรือพุทธศาสนาหรือเพศชายหรือหญิง คุณก็สามารถเข้าถึงสื่อต่าง ๆ ได้โดยง่ายในขณะที่รัฐบาลเผด็จการจะปิดกั้นสื่อทั้งหลายทำให้สังคมได้รับรู้ความจริงทำให้เป็นหนทางระบายความรู้สึกนึกคิดคนในสังคม นอกจากนี้ยังทำให้ง่ายขึ้นสำหรับคนที่จะรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในรัฐบาล สื่อมีความสำคัญมากและที่สำคัญเพื่อประชาธิปไตย ถ้าสื่อที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแล้วคนที่ไม่ทราบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในรัฐบาล ดังนั้นวิธีการนี้ยังเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ว่าทำไมสื่อไม่ควรมีการครอบงำ ซึ่งแตกต่างจากรัฐบาลเผด็จการที่ปิดกั้นและไม่สามารถทนรับฟังความเห็นแตกต่างได้ แต่ก็ควรระมัดระวังในการละเมิดสิทธิในการแสดงออกเท่านั้น
ประชาธิปไตยยังมีข้อเสียไม่กี่อย่างเช่นส่วนใหญ่ของพวกเขา ในขณะที่มันต้องใช้เวลาในการสร้างรัฐบาลที่จะได้รับการเลือกตั้งเสร็จแล้วซึ่งต้องใช้เวลาในการตัดสินใจ นอกจากนี้ยังใช้เวลานานในการออกกฎหมาย การเคลื่อนไหวไม่ได้เร็วขึ้นคือในการตัดสินใจสิ่งที่ ตัดสินใจไม่ดีในการเลือกไม้บรรทัดนำประเทศไปในทิศทางที่แตกต่างกัน และสื่ออาจมีผลกระทบในทางลบต่อสังคม รัฐบาลได้มีการจัดเรียงออกเรื่องจริงจากสิ่งที่สื่อหรือกดดัน มันจะสร้างข่าวลือและข่าวลือมักจะทำให้ยิ่งแย่ลง ทำให้เป็นช่องทางนำไปสู่การทุจริต ซึ่งหมายความว่าสังคมที่บังคับสื่อทำให้ประชาชนไม่เข้าถึงความจริง และนำไปสู่การทุจริตของรัฐบาลได้
ประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ดีโดยรวม ในประเทศประชาธิปไตยคนที่มีอำนาจมากกว่ารัฐบาลที่แตกต่างจากรัฐบาลเผด็จการ ประเทศประชาธิปไตยได้พิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จมากกว่าเผด็จการซึ่งมาจากผู้นำผู้ปกครอง
สรุปความแตกต่างประชาธิปไตยกับเผด็จการ
1. ประชาธิปไตยมีอิสระเสรีภาพในการแสดงออกทั้งการพูด,คิด,เขียน แต่เผด็จการผู้นำจะเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางไม่มีความเชื่อมั่นในมนุษย์และสิ่งแวดล้อม
2. ประชาธิปไตยให้โอกาสสูงสุดในชีวิตมนุษย์ คือโตได้เต็มที่โดยไม่มีกำแพงชนชั้นมาเกี่ยวข้อง แต่เผด็จการมักให้โอกาสคนบางกลุ่มมีชีวิตที่อยู่เหนือมนุษย์โดยทั่วไป และคอยสร้างกำแพงขวางกั้นสังคมประชาธิปไตย
3. ประชาธิปไตยทำให้คนธรรมดายิ่งใหญ่ได้ แต่เผด็จการสร้างความยิ่งใหญ่กับตนเอง โดยไม่ให้ความสำคัญกับประชาชน
4. ประชาธิปไตยยอมรับความคิดแตกต่าง แต่เผด็จการมักจำกัดกรอบความคิด มองผู้คิดต่างเป็นศัตรู ทั้ง ๆที่มนุษย์เราเกิดมาก็มีความแตกต่างกันอยู่แล้ว
5. ประชาธิปไตยทำให้คนเรามีการค้าเสรี ไม่มีการผูกขาดการค้า หรือผูกขาดอำนาจ แต่เผด็จการมักผูกขาดการค้า, และอำนาจเพื่อกลุ่มของตนเอง
6. ประชาธิปไตยเป็นวัฒนธรรมที่ยอมรับความหลากหลายเชื้อชาติ,ศาสนา,ผิวพรรณ และยอมรับศักดิ์ศรีของมนุษย์ในความเท่าเทียมกัน รวมทั้งการมีภราดรภาพแห่งความรักต่อเพื่อนมนุษย์ในสังคมโลก ในขณะที่เผด็จการให้ความรักกับตัวเองมากกว่า และคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม
นี่เป็นเพียงตัวอย่างของประชาธิปไตยที่ให้คุณประโยชน์แก่คนในชาติ ซึ่งมีคุณประโยชน์มากกว่าเผด็จการ การใช้ความเป็นเผด็จการนั้นผู้ปกครองใช้ต่อเมื่อคราวจำเป็นเท่านั้น และคงไม่อนุญาติให้ใช้ซ้ำซาก หรือเนิ่นนานซึ่งขัดกับธรรมชาติความเป็นไปของมนุษย์ ประชาธิปไตยเปรียบเสมือนรถไฟขบวนรถธรรมดามีความปลอดภัยมั่นคงต่อประชาชนและประเทศชาติ แต่เผด็จการเปรียบเสมือนรถไฟขบวนรถด่วนเมื่อไม่ปลอดภัยก็จะไม่มีความมั่นคงกับประชาชน และประเทศชาติ จะมีความมั่นคงกํบผู้แสวงหาอำนาจทางการเมืองเท่านั้น แต่ไม่มั่นคงต่อประชาชนในชาติ เว้นแต่เป็นเผด็จการที่ทำเพื่อส่วนรวมเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรก็ดีประเทศที่เจริญส่วนใหญ่ก็มักกลับกลายเป็นประเทศประชาธิปไตยทั้งนั้น
การใช้อำนาจอธิปไตยทั้งสี่
การใช้อำนาจอธิปไตยทั้งสี่
โดย…โสต สุตานันท์
กฎหมายรัฐธรรมนูญของไทยทุกฉบับที่ผ่านมา ได้บัญญัติเกี่ยวกับเรื่อง “อำนาจอธิปไตย” ไว้ทำนองเดียวกันว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย ซึ่งคำว่า อำนาจอธิปไตย นั้น ก็เป็นที่เข้าใจกันมาโดยตลอดว่า หมายถึง การใช้อำนาจของทั้ง ๓ สถาบัน อันได้แก่ อำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ หมายความว่า แท้จริงแล้วอำนาจทั้งสามดังกล่าวเป็นของปวงชนชาวไทยทุกคน แต่ในทางปฏิบัติตามความเป็นจริง เราคงไม่สามารถให้คนไทยทุกคนใช้อำนาจดังกล่าวโดยตรงได้ จึงมีความจำเป็นต้องมอบหมายให้บุคคลหรือคณะบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นตัวแทนในการใช้อำนาจ ภายใต้กระบวนการของระบอบประชาธิปไตย ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา ประชาชนได้มีส่วนในการใช้อำนาจเพียงแค่การออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งเท่านั้น หลังจากนั้น ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของตัวแทนที่ได้รับเลือกเข้าไปใช้อำนาจได้อย่างเต็มที่ โดยประชาชนแทบจะไม่มีโอกาสได้มีส่วนร่วมในการใช้อำนาจเลย จนกระทั่ง กฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ปี ๒๕๔๐ ได้อุบัติขึ้น ประชาชนจึงได้มีโอกาสเข้าไปมีส่วนในการใช้อำนาจต่าง ๆได้โดยตรงมากขึ้น เป็นต้นว่า
– การมีสิทธิ์เข้าชื่อกันไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคน เสนอร่างกฎหมายต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณาโดยตรง (มาตรา ๑๗๐ )
– การเข้าชื่อกันไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคนเพื่อร้องขอให้วุฒิสภามีมติถอดถอนบุคคลต่าง ๆที่ดำรงตำแหน่งในฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ หากเห็นว่า มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ หรือส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจใช้อำนาจไปในทางที่ขัดต่อกฎหมาย (มาตรา ๓๐๓ และ ๓๐๔ )
– การมีสิทธิอนุรักษ์ หรือฟื้นฟูจารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปะ หรือวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่นหรือของชาติ และมีส่วนร่วมในการจัดการ การบำรุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (มาตรา ๔๖ )
นอกจากนั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พุทธศักราช ๒๕๔๙ มาตรา ๒๙ ยังบัญญัติเป็นหลักการไว้ว่า เมื่อมีการร่างรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จ ให้เผยแพร่ให้ประชาชนทราบและจัดให้ออกเสียงประชามติว่า จะให้ความเห็นชอบหรือไม่ อย่างไร อีกทั้งในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ล่าสุดที่กำลังทำกันอยู่ในขณะนี้นั้น ผู้เขียนก็เชื่อว่า เนื้อหาสาระในส่วนที่เกี่ยวกับสิทธิในการเข้าไปมีส่วนร่วมในการใช้อำนาจต่าง ๆของประชาชนโดยตรง น่าจะมีมากขึ้นกว่าเดิมยิ่งขึ้นไปอีก หรืออย่างน้อย ก็ไม่น่าจะน้อยกว่า รัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๔๐
กล่าวโดยสรุปก็คือว่า ณ ปัจจุบันนี้ การใช้อำนาจของประชาชนนั้น นอกจากจะใช้อำนาจโดยผ่านฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ แล้ว ประชาชนยังสามารถใช้อำนาจต่าง ๆได้โดยตรงอีกทางหนึ่ง ซึ่งก็เป็นเหตุให้ผู้เขียนตั้งชื่อเรื่องบทความนี้ว่า “การใช้อำนาจอธิปไตยทั้งสี่” ถึงตอนนี้ผู้อ่านคงหายสงสัยชื่อบทความของผู้เขียนแล้วว่า ไม่ได้มีการเข้าใจผิดหรือพิมพ์ผิดพลาดแต่อย่างใด
ไม่ว่าเราจะทำอะไรในโลกนี้ ย่อมหลีกหนีไม่พ้นที่จะมีผลกระทบต่ออีกสิ่งหนึ่ง ดุจดั่งคำกล่าวที่ว่า “เราไม่สามารถเด็ดดอกไม้ โดยไม่ให้กระเทือนถึงดวงดาวได้ ”
ผู้เขียนเห็นว่า ที่ผ่านมาสังคมไทยมักจะมองปัญหาแบบแยกส่วน โดยไม่ค่อยจะคำนึงถึง “ภาพรวม” มากนัก ปัญหาต่าง ๆของชาติบ้านเมืองจึงได้พอกพูน สั่งสมมากขึ้นเรื่อย ๆเพราะเมื่อเราแก้ปัญหาหนึ่ง ก็จะเกิดอีกปัญหาหนึ่งตามมาเสมอ
ผู้เขียนเห็นว่า ที่ถูกต้องแล้ว ในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆนั้น เราต้องมองในภาพรวมทั้งหมดก่อน แล้วพยายามคิดหาวิธีการในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ อย่างถี่ถ้วน รอบคอบ ทั้งนี้ เพื่อป้องกันมิให้เกิดผลกระทบในทางลบหรือในทางที่จะก่อให้เกิดผลเสียหายต่อสังคมโดยส่วนรวม หากเรามีกระบวนการวิธีคิด กระบวนการตัดสินใจตามแนวทางดังกล่าว ผู้เขียนเชื่อว่า ปัญหาต่าง ๆในทุกภาคส่วนของสังคมก็คงไม่เดินมาถึงจุดที่เรียกกันว่า เข้าขั้นวิกฤต เหมือนเช่นทุกวันนี้
การใช้อำนาจอธิปไตยก็เช่นกัน หลายคนมักจะมองว่า อำนาจแต่ละฝ่ายเป็นอิสระจากกัน ไม่ขึ้นแก่กันและกัน ซึ่งเป็นแนวคิดที่น่าเป็นห่วงและเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะแท้จริงแล้ว การใช้อำนาจอธิปไตยของฝ่ายต่าง ๆไม่ว่าฝ่ายไหน จะต้องมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงสอดคล้องกันอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเอื้ออำนวย สนับสนุนซึ่งกันและกัน หรือการคานดุลตรวจสอบซึ่งกันและกัน เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ผู้เขียนขอยกตัวอย่างความเกี่ยวพันในการใช้อำนาจอธิปไตยต่าง ๆดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ
๑.) ระหว่างอำนาจนิติบัญญัติกับอำนาจบริหาร
ในสังคมบ้านเมืองเรานั้น เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่เรามีกฎหมายที่ก้าวล้ำนำหน้าไม่ด้อยไปกว่านานาอารยประเทศต่าง ๆ แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจอย่างยิ่งเช่นกันที่มาตรการบังคับใช้ให้เป็นไปตามกฎหมายในบ้านเมืองเราหลายเรื่องล้าหลังเป็นอย่างมาก ฝ่ายนิติบัญญัติได้ออกกฎหมายดี ๆมากมายหลายฉบับ แต่ฝ่ายบริหารได้นำกฎหมายดี ๆเหล่านั้น เก็บไว้บนหิ้งบูชาโดยไม่นำมาบังคับใช้ให้เกิดประโยชน์สมดังเจตนารมณ์ของฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งมีให้เห็นเป็นตัวอย่างมากมาย เช่น
– เราบัญญัติกฎหมายห้ามขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา แต่ในทางปฏิบัติ อดีตที่ผ่านมาเชื่อว่าแม้แต่ตำรวจเอง บางคนก็อาจเคยซื้อสลากเกินราคาที่กำหนดไว้ สินค้าของรัฐบาลเองเรายังไม่สามารถควบคุมได้ การที่จะหวังพึ่งสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคคงเป็นเรื่องที่ห่างไกล
– เราบัญญัติกฎหมายห้ามเด็กอายุไม่เกิน ๑๘ ปี ซื้อสุรา ซึ่งผู้เขียนเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง แต่ผู้อ่านคงทราบดีว่า ในทางปฏิบัติเราทำกันได้แค่ไหน เพียงใด
– เรามีกฎหมายควบคุมการค้าประเวณีบังคับใช้มาอย่างยาวนาน แต่การค้าประเวณีก็ยังไม่ได้ลดน้อยลงไปกว่าเดิม ในทางตรงข้ามน่าจะมีเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพียงแต่มีการเปลี่ยนรูปแบบ เปลี่ยนวิธีการ หรือสถานที่แตกต่างไปจากเดิมเท่านั้น
ฯลฯ
ที่กล่าวมาก็เป็นปัญหาของฝ่ายบริหารที่ไม่มีศักยภาพพอที่จะบังคับใช้กฎหมายตามที่ฝ่ายนิติบัญญัติออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งซึ่งน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติซึ่งเกิดขึ้นในขณะนี้ คือ ฝ่ายบริหารมักจะเข้าไปพยายามครอบงำฝ่ายนิติบัญญัติ แล้วผลักดันให้ฝ่ายนิติบัญญัติออกกฎหมายมาบังคับใช้ในลักษณะที่ตัวเองต้องการ จากนั้น ก็อาศัยช่องว่างหรือช่องโหว่ของกฎหมายตามที่ได้เตรียมการณ์วางแผนไว้ ไปใช้ประโยชน์ในการทุจริตคอรัปชั่นหรือแสวงหาผลประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆซึ่งเรามักจะเรียกกันว่า “การทุจริตเชิงนโยบาย” ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัวและเป็นอันตรายต่อสังคมไทยเป็นอย่างยิ่ง เพราะการทุจริตในลักษณะดังกล่าว เป็นการทุจริตทั้งระบบในวงกว้าง และจำนวนเงินหรือผลประโยชน์ที่ทุจริตกันก็มีจำนวนมากมายมหาศาล
๒. ระหว่าอำนาจตุลาการกับอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหาร
แม้รัฐธรรมนูญทุกฉบับจะบัญญัติไว้ว่า ผู้พิพากษาหรือตุลาการ มีอิสระ
ในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี แต่ในการตัดสินพิพากษาคดีของศาลนั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคำนึงถึงบทบาทหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารด้วย การใช้อำนาจจึงจะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคมโดยส่วนรวม ตัวอย่างเช่น
– ในช่วงเทศกาลปีใหม่หรือสงกรานต์ ฝ่ายบริหารมุ่งให้ความสำคัญต่อเรื่องการขับรถขณะเมาสุรา เนื่องจากเห็นว่า เป็นต้นเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุและสร้างความเสียหายต่อสังคมและบุคคลที่เกี่ยวข้องอย่างใหญ่หลวง จึงมีนโยบายในการเข้มงวดกวดขันจับกุมผู้กระทำความผิดฐานขับรถขณะเมาสุราอย่างเคร่งครัดเป็นพิเศษ ดังนั้น โดยหลักแล้วฝ่ายตุลาการโดยศาลยุติธรรมก็ควรที่จะกำหนดนโยบายหรือแนวทางในการตัดสินคดีให้สอดคล้องหรือคำนึงถึงนโยบายของฝ่ายบริหารดังกล่าวด้วย เช่น อาจใช้ดุลยพินิจลงโทษให้หนักขึ้น เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อให้การตัดสินคดีเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งประเทศ อันจะช่วยก่อให้เกิดพลังมากพอที่จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนในสังคมหรือมีอิทธิพลต่อการชี้นำสังคมให้เดินไปในครรลองที่ถูกต้องดีงามได้
– ฝ่ายนิติบัญญัติออกกฎหมายลงโทษปรับในคดียาเสพติดไว้ค่อนข้างสูง เนื่องจากเห็นว่า การใช้มาตรการทางด้านทรัพย์สินน่าจะเป็นการป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดได้ดีขึ้น ดังนั้น ศาลก็ควรจะบังคับใช้กฎหมายให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของฝ่ายนิติบัญญัติด้วย โดยการให้ความสำคัญกับการบังคับโทษปรับอย่างจริงจังก่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติให้ได้มากที่สุด
– กรณีเกิดโรคระบาด เช่น ไข้หวัดนก โดยปกติแล้วทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติย่อมให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ด้วยการออกกฎหมายหรือกำหนดมาตรการต่าง ๆ ขึ้นมาเพื่อควบคุมสถานการณ์อย่างเข้มงวดและเด็ดขาด เพราะถือเป็นเรื่องที่ร้ายแรง มีผลกระทบต่อสังคมอย่างใหญ่หลวง ดังนั้น ในการตัดสินคดีของศาลก็ควรจะดำเนินการอย่างรวดเร็วและเฉียบขาดด้วย เพื่อเป็นการสนับสนุนการปฏิบัติงานของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารทางอ้อมให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
๓. ระหว่างอำนาจของประชาชนกับอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ
๓.๑ ประชาชนกับฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร
มีคำกล่าวหนึ่งซึ่งผู้เขียนเคยได้ยินมานานแล้ว คือ “ตัวแทนคนกลุ่มไหนย่อมสะท้อนถึงพฤติกรรมของคนกลุ่มนั้น ” หากคิดไตร่ตรองดูให้ดี จะเห็นว่ามีมูลความจริงอยู่ไม่น้อย ถ้าสังคมไหนคนส่วนใหญ่เห็นว่า ประโยชน์ส่วนรวมต้องมาก่อนประโยชน์ส่วนตน คนที่ได้รับเลือกตั้งก็จะเป็นคนที่เห็นประโยชน์ต่อส่วนรวมมากกว่าส่วนตน ในทางตรงข้ามหากสังคมไหนคนส่วนใหญ่เห็นประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม แน่นอนว่าตัวแทนของเขาก็น่าจะเป็นคนเช่นนั้นเช่นกัน บ่อยครั้งที่ผู้เขียนเคยได้ยินคนบ่นถึงพฤติกรรมของตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้งไม่ว่าระดับใดในทางลบ ผู้เขียนก็จะฉุกคิดถึงคำพูดดังกล่าวเสมอ ก็เพราะคนส่วนใหญ่ในสังคมของเราเป็นอย่างนั้น (อาจรวมถึงคนบ่นด้วย) คนอย่างนั้นถึงได้รับเลือกเข้าไป ก็เพราะคนส่วนใหญ่เห็นแก่เงินเห็นแก่พวกพ้อง ตัวแทนที่เลือกเข้าไปจึงจ้องแต่จะหาผลประโยชน์และเล่นพรรคเล่นพวก แล้วเราจะไปโทษใครล่ะ
เนื่องจากตามระบอบประชาธิปไตย ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารจะมีที่มาจากประชาชน ดังนั้น หากประชาชนส่วนใหญ่มีคุณภาพ ย่อมเป็นหลักประกันได้ว่า ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร น่าจะมีคุณภาพตามไปด้วย ในทางตรงข้าม หากประชาชนไม่มีคุณภาพ ไม่มีจิตสำนึกต่อส่วนรวมที่มากพอ ตัวแทนที่เลือกเข้าไปทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร ย่อมมีปัญหา ย่อมขาดประสิทธิภาพตามไปด้วยเช่นกัน
นอกจากนั้น ผู้เขียนยังเห็นว่า ประชาชนทุกหมู่เหล่าต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา คอยสอดส่องดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารอย่างใกล้ชิด หากพบเห็นการกระทำใดที่ไม่ถูกไม่ต้อง ก็ต้องพยายามยื่นมือเข้าไปมีส่วนในการช่วยเหลือ แก้ไขปัญหา อย่างเช่น กรณีประชาชนในกลุ่มที่เป็นข้าราชการ ต้องไม่ยึดถือคำพูดที่ว่า “ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน” เพราะแท้จริงแล้ว คำพูดดังกล่าว เป็นข้ออ้างของคนขี้ขลาด ที่คิดถึงแต่ตัวเอง โดยไม่คิดถึงส่วนรวม ฉันไม่ฆ่าน้องไม่ว่ามันจะชั่วจะเลวจะทำให้ส่วนรวมเสียหายอย่างไรก็ตาม เพราะเดี๋ยวสังคมจะมองว่า ฉันเป็นคนไม่มีน้ำใจ ฉันไม่ฟ้องนาย แม้ว่า ฉันจะเห็นอะไรผิด ๆทำให้ส่วนรวมเสียหายก็ตาม เพราะเดี๋ยวสังคมจะมองว่า ฉันเป็นคนขี้ฟ้อง ชอบให้ร้ายคนอื่น ฉันไม่ขายเพื่อน แม้เพื่อนมันจะชั่วจะเลวยังไงก็ตาม เพราะเดี๋ยวสังคมจะมองว่าฉันเป็นคนที่ทรยศเพื่อนฝูงคบไม่ได้ ผู้เขียนเห็นว่า หากทุกคนคิดอย่างนั้น สังคมเราจะอยู่ได้อย่างไร
๓.๒ ประชาชนกับฝ่ายตุลาการ
มีคนเปรียบเทียบกันว่า การทำหน้าที่ของนักกฎหมายก็เปรียบเสมือนกับการรักษาคนไข้ของแพทย์ แพทย์จะสามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้อง และสามารถรักษาคนไข้ให้หายได้ ก็ต่อเมื่อได้รู้ข้อเท็จจริงต่าง ๆเกี่ยวกับอาการป่วยของคนไข้ ดังนั้น จึงเป็นหน้าของคนไข้ที่จะต้องให้ข้อมูลที่เป็นจริงกับแพทย์ ปวดหัวก็ต้องบอกว่าปวดหัว ไม่ใช่ไปบอกว่าปวดท้อง เคยมีอาการแพ้ยา หรือมีโรคประจำตัวใด ก็ต้องบอกให้แพทย์ได้รับรู้ เพื่อแพทย์จะได้รักษาได้อย่างถูกต้อง งานเกี่ยวกับด้านคดีความก็เช่นกัน หากประชาชนคนใดถูกฟ้องต่อศาล ก็ต้องบอกความจริงกับศาลว่า พฤติการณ์การกระทำความผิดเป็นอย่างไร และเหตุใดตนเองถึงทำผิด เพื่อศาลจะได้วินิจฉัยคดี หรือใช้ดุลพินิจในการกำหนดโทษได้อย่างถูกต้องหรือเหมาะสมกับความผิดที่ทำลงไป อย่างเช่น คดีฆ่าคนตาย ส่วนใหญ่แล้ว หากไม่ใช่มือปืนรับจ้าง จำเลยกับคนตายต้องมีเรื่องทะเลาะขัดแย้งหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน บางครั้งหากพูดความจริงกับศาลก็อาจไม่ต้องรับโทษเลยก็ได้ เพราะเป็นเรื่องของการป้องกันตัวโดยชอบตามกฎหมาย หรืออาจได้รับโทษเพียงเล็กน้อย เพราะเป็นเรื่องของการกระทำโดยบันดาลโทสะ แต่ถ้าจำเลยไม่พูดความจริงต่อศาลและพยายามปกปิดความจริง จำเลยอาจต้องได้รับโทษถึงขั้นประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิตเลยก็ได้
นอกจากนั้น ผู้เขียนยังเห็นว่า สิ่งสำคัญสูงสุดอีกประการหนึ่งที่จะช่วยส่งผลทำให้ฝ่ายตุลาการสามารถตัดสินคดีความได้อย่างถูกต้องและเป็นธรรมก็คือ ข้อเท็จจริงตามคำให้การของพยานที่เคยให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวนหรือที่เบิกความต่อศาล หากพยานที่เกี่ยวข้อง พูดความจริง แน่นอนว่า การตัดสินคดีของศาลย่อมถูกต้อง แต่หากพยานให้การเท็จ พยายามปกปิดความจริง ก็แน่นอนเช่นกันว่า ย่อมต้องส่งผลต่อการตัดสินคดีของศาลไม่มากก็น้อย บางครั้งอาจถึงขนาดทำให้การตัดสินคดีของศาลผิดพลาดไปเลยก็เป็นได้
กล่าวโดยสรุปก็คือ ในการใช้อำนาจอธิปไตยนั้น ไม่ว่าจะเป็นอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ หรือ ประชาชน ต้องมีความสัมพันธ์สอดคล้องกัน หากการใช้อำนาจของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีปัญหาย่อมส่งผลกระทบต่ออำนาจของฝ่ายอื่น ๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างเช่น การปฏิวัติหรือรัฐประหารที่ผ่านมา จะเห็นว่า มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน คือ ประชาชนมีปัญหาเรื่องการศึกษา เรื่องของความเข้าใจหรือจิตสำนึกในอุดมการณ์ประชาธิปไตย อุดมการณ์เพื่อส่วนรวม จึงส่งผลให้ตัวแทนของประชาชนที่ได้รับเลือกตั้งไปทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร มีลักษณะปัญหาในทำนองเดียวกันดังกล่าวด้วย เมื่อฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารสร้างปัญหาให้กับชาติบ้านเมืองมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขั้นวิกฤต ฝ่ายทหารก็จะใช้เป็นข้ออ้างในการเข้าไปยึดอำนาจ ซึ่งก็แน่นอนว่า ย่อมส่งผลกระทบถึงฝ่ายตุลาการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่แทบทุกครั้งที่มีการยึดอำนาจ ฝ่ายบริหารมักจะถูกกล่าวหาว่า ทุจริต หรือประพฤติมิชอบเสมอ จึงเป็นหน้าที่ของฝ่ายตุลาการที่จะต้องวินิจฉัยชี้ขาดว่า เป็นจริงหรือไม่ อย่างไร อย่างไรก็ตาม ในโลกของยุคโลกาภิวัฒน์ ซึ่งค่านิยมของคำว่า “ประชาธิปไตย” ได้แผ่ขยายครอบคลุมไปทุกหย่อมหญ้า เมื่อทหารยึดอำนาจได้แล้ว จึงไม่สามารถรักษาอำนาจไว้ได้ ท้ายที่สุดก็ต้องจำยอมมอบอำนาจคืนให้กับประชาชน แต่เมื่อประชาชนยังไม่พร้อมและยังมีปัญหาอยู่ ก็จะเลือกตัวแทนที่มีปัญหาอีกเช่นเดิม และสุดท้ายก็เข้าไปสร้างเงื่อนไขให้ฝ่ายทหารใช้เป็นข้ออ้างในการยึดอำนาจอีก จนอาจกล่าวได้ว่า เป็นวงจรอุบาทก์ของสังคมไทยเลยก็ว่าได้
ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของปวงชนชาวไทยทุกคน ทุกภาคส่วน ทุกสถาบัน ทุกองค์กร ในการที่จะช่วยกันแก้ไขปัญหา ร่วมมือร่วมใจกัน และก้าวเดินไปพร้อม ๆกัน ส่งเสริมสนับสนุน ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน และขณะเดียวกันก็ต้องคานดุลตรวจสอบซึ่งกันและกันไปด้วย สังคมไทยจึงจะอยู่ด้วยกันอย่างร่มเย็นเป็นสุข และยั่งยืนตลอดไป